เชื่อว่าหลายคนคงได้ยิน ได้พบ ได้เจอเทคนิคดีๆ ในการฝึกภาษาอังกฤษกันมาเยอะแล้ว แต่วันนี้ เราอยากนำวิธีที่ตัวเองทำอยู่จริงๆ มาแนะนำ เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการนำไปปรับใช้เพื่อฝึกฝนทักษะด้านนี้ด้วยตัวเอง ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้เราอายุ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ณ โรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นคนนึงที่ชื่นชอบภาษาอังกฤษมาก ทำให้ไม่มีอุปสรรคในการฝึกฝนเลย ได้เกรด 4 วิชาอังกฤษมาตลอด แต่ก็นะ แค่เกรดมันตัดสินว่าเก่งไม่ได้หรอก ผู้เขียนจึงอยากพิสูจน์ว่าจริงๆ แล้ว ระดับความรู้ภาษาอังกฤษของเราอยู่ขั้นไหน จึงขอแม่ไปหางานที่เกาะสมุย ให้เป็นงานที่ได้พบปะผู้คน เพราะที่เกาะสมุยชาวต่างชาติเยอะ บังเอิญแม่มีคนรู้จักเป็นผู้จัดการร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ทะเลแม่น้ำ (ชื่อตำบลในอำเภอเกาะสมุย) จึงได้ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ (ฝึกหัด) ได้ค่าตอบแทนเป็นทิปเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน แต่ที่สำคัญคือ ได้พูดคุยกับชาวต่างชาติทุกวัน ตลอดระยะเวลา 2 เดือน นอกจากสกิลการพูดภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นแล้ว ทักษะการฟังก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ได้ฟังเเค่สำเนียงเดียว เพราะนอกจากสำเนียงอเมริกันแล้ว สำเนียงอื่นๆ ก็มี อย่างสําเนียงอังกฤษ จีน เกาหลี อินเดีย ส่วนใหญ่ที่เจอก็จะประมาณนี้ ซึ่งเราไม่ได้มีหน้าที่แค่รับออเดอร์แล้วเสิร์ฟอย่างเดียว แต่บางครั้ง ลูกค้าก็จะสอบถามเราในเรื่องอื่นด้วย เช่น สอบถามทาง ถามเกี่ยวกับวัตถุดิบและวิธีการทำอาหาร (เขาไม่ได้ถามเพื่อทดสอบอะไรหรอก แต่เขาอยากรู้เฉยๆ) หรือแม้แต่เรื่องเกี่ยวกับเรา เช่น ชื่อ อายุ อยู่ที่ไหน เรียนอยู่ชั้นอะไร ถ้ามาสำเนียงอเมริกันก็ดีไป เพราะฟังอยู่บ่อยๆ แต่กับสำเนียงอื่นนี่ พูดคำว่า Sorry บ่อยมาก แม้เราจะพูดยังไม่เก่งและฟังไม่ออกบ้างในตอนนั้น แต่ไม่มีใครทำท่าทีดูแคลน หรือบางครั้งที่เราพูดโดยเรียบเรียงคำตามที่สมองเราพอจะทำได้ มันอาจไม่ได้ถูกต้องตามหลักหรือ Tense ของเขา แต่ไม่เคยมีใครว่าหรือแสดงท่าทีว่าเราผิดเลย แต่กลับกัน เมื่อไหร่ที่เราพูดอ้ำๆ อึ้งๆ หรือพูดตะกุกตะกัก พวกเขามักจะพูดให้ช้าลง พร้อมใช้ภาษากายในการบอกใบ้ ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ประโยคไหนที่เราเรียบเรียงไม่ถูก เขาก็จะเสนอประโยคที่คิดว่าใกล้เคียงให้เรา เราก็แค่เลือกพูดประโยคที่เราต้องการ ง่ายใช่ไหมล่ะ ที่น่ารักกว่านั้นคือทุกคนจะชอบให้สอนพูดภาษาไทย และไม่มีใครเลยที่พูดด้วยความไม่มั่นใจ ต่างใส่เต็มกันทุกคน กระดกลิ้น ร.เรือกันพัลวัน ทำให้เราคิดได้ว่า สิ่งแรกเลยที่ต้องมี นั่นคือความมั่นใจและกล้าที่จะพูดผิดถูกก็ขอให้ลองก่อน จะได้รู้ว่าต้องแก้ไขตรงไหน ถ้าไม่รู้ว่าควรใช้ความมั่นใจเท่าไหร่ ก็ให้คิดว่าเราเป็นเจ้าของภาษาเองเลย สำหรับสิ่งที่ใครหลายคนกลัวในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า Tense ซึ่งเราอยากจะบอกว่า เลิกคิดถึงมันได้เลย เพราะเราเป็นคนนึงที่แม่นเรื่องหลักการใช้ Tense (ในห้องเรียน) แต่พอถึงเหตุการณ์จริง เมื่อเขายิงคำถามมา เราไม่มีเวลามานั่งทบทวน หรือเรียบเรียงประโยคให้ถูกต้องตามหลักหรอก เราต้องพ่นสิ่งที่รู้และคิดได้ในตอนนั้นทันที อย่างที่มีคนเคยบอกว่า ไม่ต้องใช้ Tense ใช้ Sense ไปก่อน ไวยากรณ์มันก็คือการพูดให้ได้ใจความที่สมบูรณ์ และทำให้ประโยคสวยงาม แต่ถามว่า ประโยคที่ไม่สวยงามแต่สื่อสารได้รู้เรื่อง ไม่ดีตรงไหน หากเราอ่าน ฟัง และพูดบ่อยๆ พวกหลักการต่างๆ มันจะซึมซับไปเองโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำหลังจากมีความกล้าและมั่นใจ คือฟังฟังเพลง ฟังหนัง หรือฟังข่าวก็ได้ ช่วงแรกๆ ลองเปิดทิ้งไว้ ฟังผ่านๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้เราได้คุ้นเคยกับสำเนียงก่อน หลังจากนั้นให้ดูคลิปประกอบเพื่อพิจารณาเหตุการณ์คร่าวๆ แล้วให้ฟังอย่างตั้งใจมากขึ้น พร้อมคิดตามว่าน้ำเสียงแบบนี้ อารมณ์ประมาณนี้ น่าจะพูดถึงเหตุการณ์ใดอยู่ ลองเดาไปเรื่อยๆ แล้วค่อยเปิดซับดูว่าถูกหรือไม่ ให้จำไว้ว่า เราไม่ได้ฟังเพื่อให้รู้เรื่อง แต่ฟังเพื่อให้คุ้นชินกับสำเนียงพูดถ้าคุณมีโอกาสได้พบปะกับชาวต่างชาติ ก็ใช้โอกาสนั้นให้คุ้ม ส่วนคนที่ไม่มีโอกาส คุณสามารถคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวได้ แต่หากคุณไม่มีโอกาสนี้เช่นกัน (เหมือนผู้เขียน) เราก็สามารถพูดกับตัวเองได้ ด้วยการคิดแล้วพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ชินกับการทำรูปปากและออกเสียง ทำอะไรในชีวิตประจำวัน ก็ลองคิดเป็นภาษาอังกฤษมั่วๆ ไปก่อน ฝึกสัญชาตญาณในการตอบโต้ ไม่เน้นถูกต้อง 100% แต่เน้นความเร็วในการคิดอ่านบทความที่น่าอ่าน ทำความเข้าใจได้ง่าย และเหมาะกับเราที่สุด คือบทความในหนังสือเรียน เพราะเขาได้ออกแบบเนื้อหามาให้เหมาะสมกับแต่ละวัย ฉะนั้น คำศัพท์หรือประโยคไหนที่คุณแปลไม่ถูก ก็จงหาวิธีการเพื่อให้ได้รู้ความหมายซะ เพราะมันบ่งบอกว่า คุณกำลังไม่รู้ในสิ่งที่ต้องรู้เขียนคำศัพท์หรือประโยคไหนที่เราไม่รู้ความหมายหรือมันน่าสนใจ ก็ให้จดไว้อ่านทบทวน แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะทักษะมันไม่ได้เกิดจากการยัดความรู้ใส่สมองอย่างเดียว แต่ต้องดึงมันออกมาใช้ด้วย. ภาพประกอบโดย Pixabay , AmBeem (ผู้เขียน)ภาพปกโดย Canva , Pixabay