เรื่องนี้ต้องนำมาเล่าสู่กันฟังกับทาสแมวทั้งหลาย เพราะเจ้านายของเรานั้นทำอะไรได้มากกว่าที่คิด นอกจากจะนอนเป็นงานอดิเรกและไล่จับหนูเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ครั้งหนึ่งแมวยังเคยเป็นสายลับให้สหรัฐอเมริกาเพื่อทำสอดแนมเพื่อจารกรรมข้อมูลจากสหภาพโซเวียต เป็นโครงการที่ตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทุ่มงบประมาณไปอย่างมหาศาลกับบรรดาน้องแมวที่ถูกจับมาแปลงโฉมให้กลายเป็นสายลับสี่ขา แต่จะล้วงลับข้อมูลมาได้สำเร็จหรือถูกจับได้เสียก่อน ผู้เขียนจะพาเหล่าทาสแมวไปหาคำตอบกับภารกิจสำคัญของแมวน้อยพร้อมกันในบทความนี้เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่โลกใบนี้เกิดสงครามเย็น (Cold War) ขึ้นในช่วงปี 1945-1991 เผื่อใครจะหลงลืมกันไป สงครามเย็นเป็นสงครามทางความคิดและอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันของสองขั้วอำนาจ นั่นคือกลุ่มประเทศโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต ที่ผ่านมาหากเกิดความไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างก็ห้ำหั่นกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ในช่วงสงครามเย็นจะเป็นการต่อสู้ทางการเมือง ใช้จิตวิทยาเข้าสู้ ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกปั่นยุยงให้เกิดการประณาม ถึงแม้จะมีการสะสมอาวุธและกองกำลังทางการทหาร แต่ตลอดช่วงเวลาที่เกิดสงครามเย็นไม่มีการสู้รบด้วยอาวุธจนเกิดการนองเลือดแล้วแมวมาเกี่ยวข้องกับสงครามเย็นได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือสงครามเย็น กลเม็ดเด็ดพรายที่แต่ละฝ่ายวางแผนเอาไว้ต้องทำอย่างเงียบที่สุด ต่างจากสงครามโลกที่ยิงปืนใหญ่หรือทิ้งระเบิดถล่มใส่กันแบบโจ่งแจ้ง ข้อมูลสำคัญถือเป็นความลับระดับชาติที่ต้องเก็บไว้ห้ามรั่วไหลเด็ดขาด ดังนั้นหากจะล้วงความลับของฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องหาสายลับเข้าไปตีเนียนเพื่อจารกรรมข้อมูลออกมา แต่ถ้าจะใช้สายลับที่เป็นคนก็เกรงว่าหากถูกจับได้จะก่อให้เกิดการลงโทษถึงแก่ชีวิต จะผิดคอนเซปต์สงครามเย็นไปหน่อย ฝ่ายสหรัฐอเมริกาจึงปิ๊งไอเดีย จับแมวมาแปลงโฉมเป็นสายลับล้วงข้อมูล ตั้งชื่อโครงการว่า Acoustic Kitty หรือถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่าโครงการแมวน้อยดักฟังอะไรทำนองนั้นโครงการ Acoustic Kitty ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ดำเนินขึ้นภายใต้การควบคุมของสำนักข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ซีไอเอ (CIA) ซึ่งมีแนวคิดจากการสังเกตแมวที่เดินเพ่นพ่านอยู่ตามท้องถนน พิพิธภัณฑ์ รวมทั้งสถานที่ราชการ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจแมวจรจัดพวกนี้สักเท่าไร มันอยากจะเดินหรือปีนป่ายก็ปล่อยให้มันทำไป ซีไอเอจึงนำแนวคิดนี้มาใช้ในการล้วงความลับของสหภาพโซเวียต โดยการจับแมวมาให้สัตวแพทย์ผ่าตัดแล้วใส่เครื่องรับวิทยุเข้าไปในคอ รวมทั้งติดตั้งไมโครโฟนและสายรับสัญญาณเอาไว้ในหูของมัน จากนั้นจึงนำไปฝึกฝนแล้วปล่อยพวกมันให้ไปเดินอยู่ตามสถานที่สำคัญในสหภาพโซเวียต เรียกว่าเป็นการจับน้องแมวมาแปลงโฉมให้เป็นสายลับอย่างเต็มตัวมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร แมวสายลับจะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ ต้องขอแสดงความเสียใจเพราะโครงการดังกล่าวล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้การผ่าตัดติดตั้งอุปกรณ์จะเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหา แต่เมื่อจับแมวไปฝึกวิชาสายลับ ทาสแมวคงรู้กันดีว่าไม่มีใครเอาชนะแมวได้ เพราะแมวสายลับที่จับมาฝึกนั้นหิวบ่อย พอหิวแล้วก็จะไม่อยู่ที่เดิม จะวิ่งไปที่อื่นเพื่อหาอาหาร อีกทั้งวัสดุที่ติดตั้งเข้าไปในคอแมวมีขนาดเล็กตามขนาดตัวของแมว ทำให้ค่าพลังงานในแบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่นานนัก ซีไอเอเห็นเค้าลางในความล้มเหลวแต่ก็ยังดันทุรังนำแมวสายลับไปปล่อยเพื่อทำภารกิจ แต่แมวตัวแรกที่นำไปปล่อยก็ไม่สามารถคาบข่าวมาให้สหรัฐอเมริกาได้ เพราะความซุกซนของมันทำให้ถูกรถชนตาย เรียกว่าลางไม่ดีตั้งแต่เริ่มกันเลยทีเดียวสรุปคือโครงการ Acoustic Kitty ก็ไปไม่ถึงไหน งบประมาณที่ลงทุนไปก็สูญเปล่าไปหลายร้อยล้านบาท จนต้องยุบเลิกโครงการไปในที่สุด แต่นับว่าทำให้มวลมนุษยชาติทาสแมวทั้งหลายได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งแมวก็เคยมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์และการทหาร แต่เรื่องนี้คงสอนให้กองทัพสหรัฐอเมริการู้ว่า อย่าจับแมวมาใช้งาน เพราะไม่มีใครชนะแมว แม้กระทั่งคนที่เลี้ยงมันมาเป็นสิบปี ยังไม่เคยได้เลื่อนขั้นจากทาสไปเป็นเจ้านายนายเลยสักทีรูปภาพหน้าปก โดย Ligia_Maria : Pixabayภาพประกอบที่ 1 โดย Tanja Cotoaga : Unsplashภาพประกอบที่ 2 โดย Jens Johnsson : Unsplashภาพประกอบที่ 3 โดย Sebastian Molina Fotografia : Unsplashภาพประกอบที่ 4 โดย Focusonpc : Pixabayศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TIME, The CIA Trained Cats To Be Spies : Youtube