เมื่อช่วงประมาณ 3 ปีที่แล้วนี้ ทาง Apple ได้เปิดตัวอุปกรณ์ตระกูลใหม่อย่างน้อง AirTag เพื่อตอบโจทย์คนที่ชอบขี้ลืมว่าวางสิ่งของไว้ตรงไหนบ้างหรืออาจจะชอบทำหล่นอยู่บ่อยๆ บอกเลยว่าเจ้าตัว AirTag นี้ไม่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเหมือน iPhone หรืออุปกรณ์รุ่นอื่นๆ ก็เชื่อมต่อได้เช่นกัน ดังนั้นวันนี้ครีเอเตอร์ Chaplucat จะมารีวิวให้ชมกันอย่างละเอียดเลยครับว่าเจ้า AirTag จิ๋วนี้จะสามารถใช้งานได้เป็นอย่างไรบ้างคำเตือน : ใครที่กำลังใช้มือถือ android แล้วสนใจรุ่นนี้อยู่ จะใช้งานไม่ได้นะครับ เพราะรุ่นนี้ต่อกับมือถือ android ไม่ได้นะครับ 😅แกะกล่องกันดีกว่า :โดยกล่องที่เราเลือกในวันนี้จะเป็นกล่องแบบแพ็คชิ้นเดียวมาให้ครับ สำหรับคนที่ขี้ลืมมากๆ ก็จะมีแบบแพ็ค 4 ชิ้นขายในกล่องเดียวมาให้เช่นกันครับ ซึ่งหน้าตากล่องนั้นจะมาแบบสีขาวเรียบๆ มีอักษรเขียนว่า "AirTag" กับรูปของเจ้าตัวจิ๋วมาให้ดูพอเปิดกล่องออกมาก็จะเจอคู่มือเอกสารเป็นอย่างแรก แล้วก็จะเจอน้อง AirTag นอนติดกับกาวมาอยู่ในกระดาษแข็งบางๆ สีขาวพร้อมกับด้านข้างจะมีวิธีการสอนเชื่อมต่อเจ้าตัวจิ๋วมาให้ครับดีไซน์ขนาดเล็ก พกพาได้สะดวกมากก่อนจะไปดูรีวิวเจ้า Apple AirTag ก็มาดูดีไซน์กันก่อนเลย เจ้าตัวนี้มีขนาดเล็กมาก เทียบได้ประมาณแค่เหรียญ 10 บาทเท่านั้น โดยเราสามารถพกใส่กระเป๋าสตางค์หรือห้อยกับปลอกคอของสัตว์เลี้ยงได้เลยทีเดียว ส่วนวัสดุที่ใช้มาประกอบก็จะเป็นพลาสติกสีขาวรอบตัวและส่วนฝาปิดจะเป็นแบบอลูมิเนียมครอบทับตัวแบตเตอรี่ไว้ครับ ซึ่งเจ้าอลูมิเนียมนี้เกิดรอยขีดข่วนกับนิ้วมือได้ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียวแถมที่สำคัญแล้วยังมีความสามารถป้องกันน้ำรอบด้านมาตรฐาน IP67 หรือที่ความลึกไม่เกิน 1 เมตรได้ในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที ไม่ว่าน้ำจะกระเซ็นใส่หรือโดนแช่น้ำก็สามารถใช้งานต่อได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรครับเลยครับวิธีเริ่มต้นการใช้งานการใช้งานครั้งแรกง่ายๆ เลยเพียงแค่ดึงตัวแถบพลาสติกออกมาจากกั้นแบตเตอรี่ทำงานจนหมดที่อยู่ในตัวเครื่อง AirTag จนมีเสียงเตือนบิ๊ป~ ออกมาครับ จากนั้นทำตามขั้นตอนบนจอแสดงผลของ iPhone หรือ iPad ได้เลยหรือจะทำตามข้างล่างดังนี้ก็ได้นำ AirTag ไปไว้ใกล้ๆ กับขอบของ iPhone รอจนใน iPhone ตรวจพบขึ้นว่าเจอน้อง AirTagกดปุ่ม “เชื่อมต่อ” แล้วรอสักครู่จากนั้น > เลือก ชื่ออุปกรณ์สิ่งของหรือจะตั้งชื่อเองก็ได้ แล้วก็กด ดำเนินการ ได้เลยรอสักครู่ให้ตัว AirTag หาตำแหน่งปัจจุบันพบ จากนั้นก็เป็นอันเรียบร้อย สามารถเปิดดูผ่านแอพ Find my เลยวิธีการค้นหาในแต่ละแบบสำหรับการค้นหาสิ่งของในแต่ละแบบก็จะมีทั้งแบบระบุตำแหน่งได้อย่างชัดเจนหรือจะกดส่งเสียงร้องก็ได้ ส่วนการเชื่อมต่อจะสามารถทำได้โดยเมื่อ iPhone ของเราเชื่อมต่อเอาไว้ หรือจะเป็นการที่คนอื่นๆ เป็นคนเจอ AirTag ของเราครับค้นหาในระยะใกล้แบบแรกในระยะใกล้ เหมาะสำหรับค้นหาภายในบ้านครับ เพียงแค่เราเข้าใช้งานแอป “Find my” แล้วไปที่แถบสิ่งของ ระบบก็จะขึ้นตัวตำแหน่งขึ้นมาให้ทันทีครับ ซึ่งถ้าเรายังหาไม่เจอก็สามารถกดค้นหาเพื่อระบุตำแหน่งแบบแม่นยำมากๆ ซึ่งระบบจะบอกแบบรอบทิศทาง และมีระยะความห่างบอกชัดเจนมาก โดยถ้าระยะใกล้ต่ำว่า 1 เมตร iPhone ที่เชื่อมไว้ก็จะสั่นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย( วิธีด้านบนนี้ สามารถใช้สำหรับคนที่ใช้ iPhone 11 และ iPhone SE รุ่นที่ 2 ขึ้นไปเท่านั้นนะครับ )หรือถ้ายังไม่เจออีกก็สามารถกดส่งเสียงดังเพื่อให้ AirTag ส่งเสียงออกมาได้ครับ ซึ่งเจ้าตัว AirTag ก็ปล่อยเสียงแบบบิ๊ป~ ประมาณทั้งหมด 3 ครั้งออกมา ความดังถือว่าพอได้ยินข้ามห้องเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรมาบดบังจะได้ยินชัดเจนมากๆ ( ฟีเจอร์นี้เหมาะกับ iPhone รุ่นเก่าหรือ iPad ทุกรุ่นนะครับ )ยังไม่หมดเท่านี้ครับ เรายังสามารถสั่งงานกับ Siri ได้ เพียงแค่เราพูดว่า “หวัดดี Siri หา (อุปกรณ์ที่ตั้งค่าไว้) ให้หน่อย” เช่น เราตั้งค่าไว้เป็นกุญแจรถยนต์ก็พูดว่า “หวัดดี Siri หากุญแจรถยนต์ให้หน่อย” เป็นต้น จากนั้น AirTag ก็จะส่งเสียงดังขึ้นมาทันทีแบบอัตโนมัติค้นหาระยะเกิน 10 เมตร หรือการทำของหายจริงๆใครที่ชอบลืมสิ่งของ เวลาออกไปข้างนอก ก็อาจจะกังวลได้น้อยลงมาบ้างครับ เพราะระบบของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ Mac ทุกเครื่องบนโลกใบนี้จะฟีเจอร์ใช้ Find My Network ผ่านระบบ Bluetooth เพื่อช่วยให้เราสามารถติดตามตำแหน่งปัจจุบันของ AirTag ได้ในแอป Find My แบบเรียล์ไทม์เลย ( หมายเหตุ : หากไม่มีอุปกรณ์ Apple อยู่ใกล้จะไม่สามารถบอกตำแหน่งได้นะครับ 😅)หมดหวังว่า AirTag จะโดนขโมยไปใช้หากใครที่เจอ AirTag ของเราแล้วอยากได้มาใช้เสียเอง ก็จะไม่สามารถเชื่อมต่อได้ แม้จะมีการรีเซ็ตเครื่องหลายรอบแล้วก็ตาม โดยจะมีการติดระบบล็อค Apple ID เหมือนกับ iPhone เลยครับ ทำให้คนอื่นไม่สามารถเชื่อมต่อ AirTag ของเราได้หากเรายังไม่ได้ลบเจ้าตัว AirTag ออกจากเครื่องเรานั่นเอง คล้ายกับตัว AirPods เลย แค่เพียง AirPods แม้เชื่อมต่อกับเจ้าของใหม่แล้ว เจ้าของเก่ายังดูได้แถมยังมีโหมด AirTag สูญหายด้วย โดยเมื่อเอาเจ้าตัวจิ๋วไปใกล้กับมือถือที่รองรับ NFC ก็จะขึ้นข้อมูลเช่น เบอร์โทร ชื่อเจ้าของเอง ที่เจ้าของเป็นคนใส่เอาไว้ได้ แถมยังบอกกับเจ้าของ AirTag อีกด้วย เวลามีคนพยายามเชื่อมต่ออีกด้วยภายใน iOS17 สามารถแชร์ตำแหน่งอุปกรณ์ AirTag กับเพื่อนหรือคนในครอบครัวได้ด้วย ซึ่งสะดวกเวลาทำกุญแจหาย จะสามารถช่วยกันหาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย แถมยังมีโหมด "แจ้งเตือนเวลาทิ้งไว้" ทำให้เวลาพก AirTag ไปไหนมาไหน แล้วลืมทิ้งไว้นานเกิน ก็จะแจ้งเตือนก็ทำให้รีบกลับไปหยิบทันทีส่วนแบตเตอรี่สามารถเปลี่ยนได้ โดยที่แถมมาให้ตอนเปิดกล่องจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดก็จะมีแจ้งเตือนมาให้เลยในแอพ Find my แบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นถ่านแบบเม็ดกระดุมทั่วไปเลย เอาล่ะเป็นยังไงกันบ้างกับการรีวิวเจ้าตัว AirTag หวังว่าผู้อ่านจะชอบนะครับ วันนี้ครีเอเตอร์ขอตัวลาไปก่อนนะครับ สวัสดีครับเครดิตภาพ : ครีเอเตอร์เป็นคนถ่ายภาพและแคปหน้าจอเองเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !