STECON เจ็บแต่จบ โบรกคาดพลิกทำกำไรปี 68

#STECON #ทันหุ้น - บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON แจ้งผลการดำเนินงานปี 2567 มีขาดทุนสุทธิ 2,357 16,729 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 1.55 บาท โบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์วันที่ 3 มี.ค.ระบุว่าการขาดทุนมาจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว และคาดการณ์ว่าในปี 2568 STECON จะมีผลการดำเนินงานพลิกมามีกำไร
การซื้อขายหุ้น STECON วันที่ 3 มี.ค.ราคาหุ้นอยู่ในช่วง 3.56-4.36 บาท ก่อนจะปิดที่ 4.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.82 บาท (+23.84%) มูลค่าการซื้อขาย 234 ล้านบาท โบรกเกอร์มีความคิดเห็นดังนี้
.
บล.เอเซียพลัสระบุว่างวดไตรมาส 4/67 ขาดทุนสุทธิ 2,247 ล้านบาท จากการรับรู้ค่าใช้จ่าย One Time ทั้งการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญ การตั้งด้อยค่าทรัพย์สิน การบันทึกต้นทุนส่วนเพิ่มงานก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนและค่าใช้จ่ายในการยกระดับความปลอดภัยรถไฟฟ้าสายสีชมพู,เหลือง รวมไปถึงการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู
ปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 2,357 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่มีกำไร 528 ล้านบาท ถือเป็นผลขาดทุนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
การตัดสินใจรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวนมากในงวดไตรมาส 4/67 จะทำให้เห็นการฟื้นกลับของกำไรอย่างแข็งแกร่งในปี 2568 พร้อมโอกาสรับรู้กำไรพิเศษหากได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยรวมไปถึงการตามเก็บเงินจากลูกหนี้ Clean Fuel Project ที่ค้างชำระขณะที่ส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าก็น่าจะลดลงตามจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
การปรับโครงสร้างธุรกิจเป็นบริษัทโฮลดิ้ง เปิดโอกาสสู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีอัตรากำไรและการเติบโตสูงกว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาก แต่ยังไม่สร้าง Impact ชัดเจนต่อประมาณการ เนื่องจากยังไม่มีการเซ็นสัญญาโครงการลงทุนที่มีนัยสำคัญเข้ามา
ราคาหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงลบต่อผลประกอบการไตรมาส 4/67 ที่ขาดทุน แต่มองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เพราะจากนี้ไปเชื่อจะมีแต่ปัจจัยบวกที่รอรับรู้ เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น Outperform ประเมินราคาเหมาะสมลง 7.00บาท อิง PBV ย้อนหลัง 5Y-1.5SD
.
บล.บัวหลวงมองแนวโน้มในไตรมาส 1/68 คาดพลิกเป็นกำไรหลัก (Turnaround) ทั้ง YoY และ QoQ จากธุรกิจรับเหมาฯ กลับสู่ปกติ และปันผลพิเศษจาก GULF ราว 222 ล้านบาท จากการปรับต้นทุนโครงการมีปัญหาไปแล้วในไตรมาส 4/67 แรงกดดันของ GM ปีนี้จะน้อยลงจากเดิม เราจึงปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2568 ขึ้น 30% หลักๆ เป็นการปรับเพิ่มสมมติฐาน GM ขึ้นเป็น 5.5% (แต่ยังอนุรักษ์นิยมกว่าค่าปกติ 6-7%) ประเด็นกดดันกำไรปีนี้เหลือเพียงผลขาดทุนของสายชมพู-เหลือง
ระยะสั้นราคาหุ้นคงถูกกดดันจากผลขาดทุนหนักจากการตั้งสำรอง-ค่าใช้จ่ายรายการที่มีปัญหา แต่คิดว่าเป็นการปลดล็อค Overhang ให้ช่วง 3-6 เดือนจากนี้ไม่มีประเด็นกวนใจ และแม้เราปรับลดราคาเป้าหมาย โดย Derated valuation ไปที่ PBV 0.5 เท่า (-2SD เทียบเฉลี่ย 5 ปี) แล้วยังได้ราคาเป้าหมาย 5.70 บาท แสดงว่าราคาปัจจุบันลงมาลึกเกินไปจากความกลัวประเด็นดังกล่าว และคาดว่าจะเห็นแรงซื้อ Buy-after-fact ช่วง 1-3 เดือนนี้จากการเก็งแนวโน้มผลประกอบการกลับสู่ปกติ ทั้งนี้ STECON จะมีจัดประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 5 มี.ค. นี้ เราประเมินว่าจะเคลียร์ประเด็นกังวลตลาดชัดขึ้น
.
บล.กสิกรไทยระบุว่าแนวทางปี 2568 STECON คาดว่าจะไม่รับรู้รายการครั้งเดียวเพิ่มเติมในปี 2568 นอกจากนี้ STECON คาดว่าจะได้รับเงินเคลมประกันของต้นทุนคงที่ของโครงการบึงหนองบอนเกือบเต็มจำนวน
อิงจากแนวทางของ STECON บล.กสิกรไทยคาดว่าจะเห็นการพลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นกำไรสุทธิในปี 2568 จากผลขาดทุนสุทธิที่ 2.4 พันลบ. เนื่องจากไม่มีการรับรู้รายการครั้งเดียวในปี 2568 และยอด backlog ปัจจุบันที่สูงขึ้น 20% YoY นอกจากนี้ ยังคาดจะเห็น Upside จากเงินเคลมประกันต้นทุนคงที่ของโครงการบึงหนองบอนและรถไฟฟ้าสีชมพูและเหลืองที่คาดอยู่ที่เกือบ 2 พันลบ. อย่างไรก็ดี เราไม่มั่นใจว่ากำไรจะฟื้นตัวในปีหน้า เราจะทบทวนประมาณการของเราหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 5 มี.ค.2568
บล.กสิกรไทยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ และคำแนะนำของ STECON เนื่องจากเราต้องการข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นถึงรายการครั้งเดียวและการดำเนินงานปกติที่แท้จริงของธุรกิจก่อสร้างในปี 2567 เราจะอัปเดตข้อมูลหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 5 มี.ค. ในส่วนของสภาพคล่องของ STECON ยังแข็งแกร่งและยังสามารถเพิ่ม leverage ได้เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนขณะนี้อยู่ที่แค่ 0.03 เท่า ขณะที่อัตราส่วนทุนหมุนเวียนอยู่ที่ 0.78
เท่า
ปัจจัยเสี่ยงหลักได้แก่ 1) ผลขาดทุนที่มากขึ้นจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง 2) การเซ็นสัญญาโครงการใหม่ที่ล่าช้าและ 3) ผลขาดทุนที่มากขึ้นจากโครงการบึงหนองบอน
.
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สมองแนวโน้มปี 2568: กำไรในไตรมาส 1 ปี 2568คาดว่าจะฟื้นตัวเป็น 240-250 ล้านบาท (จากขาดทุน 2,247 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567)
กำไรปี 2568คาดว่าจะเป็นบวก 385 ล้านบาท (จากขาดทุน 2,357 ล้านบาท ในปี 2567) โดยมีรายได้จากธุรกิจก่อสร้าง 32,000 ล้านบาท และมาร์จินกำไรขั้นต้นคาดว่าจะปรับตัวเป็น 5.2%-5.3%
การปรับประมาณการกำไร ปี 2568 เพิ่มขึ้น 86% และปี 2569เพิ่มขึ้น 10% โดยปรับมาร์จินกำไรขั้นต้นปี 2568 และ2569 เป็น 5.1% และ 5.4% ตามลำดับ
คำแนะนำ ปรับจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" โดยตั้งราคาเป้าหมายที่ 5.90 บาท อ้างอิง P/BV 0.50x ซึ่งเป็น -2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา