รีเซต

‘บล. เอเซีย พลัส’ ชี้รัฐอัดเงินกู้ 7 แสนลบ. ดันเศรษฐกิจฟื้น ดึงบรรยากาศตลาดหุ้นสดใสขึ้น

‘บล. เอเซีย พลัส’ ชี้รัฐอัดเงินกู้ 7 แสนลบ. ดันเศรษฐกิจฟื้น ดึงบรรยากาศตลาดหุ้นสดใสขึ้น
มติชน
20 พฤษภาคม 2564 ( 09:22 )
57
‘บล. เอเซีย พลัส’ ชี้รัฐอัดเงินกู้ 7 แสนลบ. ดันเศรษฐกิจฟื้น ดึงบรรยากาศตลาดหุ้นสดใสขึ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า จากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้เพิ่มเติมวงเงิน 700,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 30,000 ล้านบาทแรก จะใช้สำหรับแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม, การจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ และ 400,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชดเชยเยียวยาเพิ่มเติม และ 270,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น เบื้องต้นประเมินว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเคลื่อนตัวได้มากกว่า เพราะภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ถือเป็นช่วงที่ค่อนข้างเหนื่อยยาก ทำให้เมื่อต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป จะต้องมีมาตรการเข้ามาช่วยสนับสนุน จึงมองว่า การใส่เม็ดเงินเพิ่มเข้ามาอีก 7 แสนล้านบาท จะเป็นส่วนช่วยให้กลไกลเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและเดินหน้าต่อได้ จะส่งผลต่อเนื่องไปยังบรรยากาศของภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่จะปรับตัวดูดีขึ้น เพราะความเสี่ยงในด้านวิกฤตเศรษฐกิจปรับลดน้อยลง

 

 

“สัดส่วนของเม็ดเงินทั้งก้อน 7 แสนล้านบาท ถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ในการใช้แก้ไขปัญหาโควิด การเยียวยา และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นรูปแบบเดียวกับการใช้เงินกู้ก้อน 1 ล้านล้านบาท ในรอบการกู้ครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่ตัวเงินกู้ก้อน 1 ล้านล้านบาท งบในการใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถูกโยกมาใช้กับการเยียวยาผลกระทบจากโควิดแทน เพราะการระบาดในช่วงที่ผ่านมายาวนานกว่าที่คาดไว้ และมีการระบาดซ้ำระลอกใหม่เกิดขึ้นเพิ่มเติม จึงมองว่ารูปแบบการใช้เงินกู้ก้อนใหม่นี้ไม่ได้แตกต่างจากก้อนเก่าเท่าใดนัก” นายเทิดศักดิ์ กล่าว

 

 

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า จากการประเมินทิศทางภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทย ทั้งปี 2564 จะเติบโตได้ที่ 1.7% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ 2.6% ซึ่งการเพิ่มเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกก้อนนั้น ยังต้องใช้เวลาในการประเมินผลเพิ่มเติม ว่าจะสามารถดันจีดีพีบวกได้อีกมากหรือน้อยอย่างไร รวมถึงยังคงเป้าดัชนีหุ้นไทยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,670 จุด ได้ในปีนี้ สำหรับกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากรัฐบาลเพิ่มอีก 7 แสนล้านบาท หลักๆ จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอย อาทิ กลุ่มค้าปลีก ศูนย์การค้าให้เช่า และกลุ่มอุปโภคบริโภคทั่วไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง