เพื่อนคุณทำเงินได้ปีละหลายล้าน แต่เห็นเขาจ่ายหนี้บานจนสิ้นปีไม่มีเงินเหลือ ส่วนคุณเงินเดือนนิดเดียว ดันมีเงินเก็บทุกปีเป็นแสน ตกลงว่าใครรวยหรือจนกันแน่นะ แล้วฐานะคนมันวัดจากอะไรไม่ใช่คุณคนเดียวที่งง เพราะคนส่วนใหญ่ก็มักสับสน นำไปสู่การตัดสินฐานะคนผิดพลาด เพราะเราส่วนใหญ่มักวัดฐานะจาก “สิ่งที่หาได้” แทนที่จะวัดจาก “สิ่งที่มีเหลือ”แต่ในทางการเงิน เราจะไม่วัดความรวยกันที่ตัวเลขรายได้ แต่จะวัดกันง่าย ๆ จากตัวเลข Net WorthNet Worth (ความมั่งคั่งสุทธิ) คือการฉายภาพรวมของการเงินของเราในช่วงเวลาหนึ่ง วิธีคำนวณก็ไม่ยาก ให้เอาตัวเลขทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเป็นตัวตั้ง หักลบด้วยหนี้สินทั้งหมดที่มีNet Worth (ความมั่งคั่งสุทธิ) = ทรัพย์สินทั้งหมดที่มี – หนี้สินทั้งหมดที่มีสมมติว่าคุณมีทรัพย์สินทั้งหมดในชีวิต 500,000 บาท คุณเป็นหนี้ธนาคารอยู่ 250,000 บาท ความมั่งคั่งสุทธิของคุณคือ 250,000 บาทตรงกันข้าม ถ้าคุณมีทรัพย์สินทั้งหมด 500,000 บาท แต่ดันติดหนี้ธนาคารอยู่ 750,000 บาท ความมั่งคั่งสุทธิของคุณก็คือ -250,000 บาทด้วยหลักการเช่นนี้ คนที่มีทรัพย์สินมาก ๆ จึงยังไม่ได้แปลว่าร่ำรวย และคนที่มีทรัพย์สินน้อย ๆ ก็ยังไม่ได้แปลว่ายากจน เพราะความมั่งคั่งสุทธิไม่ได้ดูเฉพาะสิ่งที่ครอบครองอยู่ในตอนนี้ แต่ดูไปถึงว่าคุณมีหนี้สินเท่าไหร่ด้วยแน่นอนว่าความมั่งคั่งสุทธิของคุณต้องติดบวกถึงจะดี และยิ่งติดบวกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นแต่เพื่อความราบรื่นในชีวิตประจำวัน นอกจาก Net Worth แล้วคุณยังต้องสนใจ Cash Flow ด้วยช่วงโรคระบาด Covid-19 คือช่วงที่เราจะเห็นความสำคัญของ Cash Flow ชัดมาก เพราะเพียงแค่ขาดรายได้ไม่กี่เดือน ก็มีผู้คนมากมายที่แทบมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ธุรกิจเริ่มทยอยล่มสลาย ซึ่งไม่ใช่เพราะผู้บริหารไร้ประสิทธิภาพหรือทีมเวิร์คไม่เก่งกล้า แต่เพราะปราศจากสิ่งที่เรียกว่าสภาพคล่องเงินสดต่อให้คุณดูแข็งแรง คุณก็ไม่อาจฟันธงว่าตัวเองแกร่งได้ ถ้าเลือดไหลเวียนในร่างกายของคุณสะดุด Cash Flow ที่ติดขัดเปรียบเหมือนเส้นเลือดที่มีไขมันอุดตัน ซึ่งถ้าไม่รีบดูแลมันก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตขณะที่ Net Worth นั้นวัดภาพรวม แต่ Cash flow นั้นวัดภาพลึก วิธีคำนวณก็ง่ายพอกัน แค่นำเอาตัวเลขรายได้ทั้งหมดในปัจจุบัน หักด้วยรายจ่ายทั้งหมดในปัจจุบัน ณ ช่วงเวลาหนึ่งCash Flow เดือนนี้ = รายได้ทั้งหมดเดือนนี้ – รายจ่ายทั้งหมดเดือนนี้ สมมติว่าคุณเขียนบทความได้เดือนละ 10,000 บาท คุณมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งเดือน 9,000 บาท Cash Flow ของคุณในเดือนนี้ คือรายได้ทั้งหมด-รายจ่ายทั้งหมด (10,000-9,000) = 1,000 บาทแต่หากคุณเขียนบทความได้เดือนละ 10,000 บาท คุณมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งเดือน 9,000 บาท แต่เผลอสั่งซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตไปอีก 3,000 บาท ซึ่งจะต้องชำระคืนในเดือนหน้า Cash Flow ของคุณในเดือนนี้ คือรายได้ทั้งหมด-รายจ่ายทั้งหมด (10,000-9,000-3000) = -2,000 บาทนั่นแปลว่า Cash Flow คุณจะติดลบทันที ทางที่ดีคุณควรหารายได้เพิ่มอีก 2,000 บาทในเดือนนี้เลย หรือมิฉะนั้นก็ต้องลดค่าใช้จ่ายเดือนหน้าลง 2,000 บาทCash Flow ติดลบ : คุณอยู่ในสภาพเงินขาดมือ หากติดลบมาก ๆ อาจเพราะคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือมีหนี้สินทางอื่น ระวังให้ดีอย่าเสพติดการเป็นหนี้เป็นอันขาด เพราะอนาคตการเงินของคุณจะดำดิ่งสู่หายนะ สิ่งที่คุณต้องทำทันทีคือ เร่งหารายได้เพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลงCash Flow ติดศูนย์ : คุณใช้ชีวิตแบบปริ่มน้ำ คุณไม่มีเงินเก็บ ไม่มีกันชน ถ้าเกิดอุบัติเหตุกับอาชีพการงานของคุณ คุณจะได้รับผลกระทบกระเทือนรุนแรง สิ่งที่คุณต้องรีบทำคือ ปรับสภาพคล่องของคุณให้เป็นบวกโดยเร็วCash Flow ติดบวก : ยินดีด้วย คุณออกสตาร์ทได้สวยกว่าเพื่อน คุณใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้ เงินที่มีเหลือจะช่วยชีวิตคุณได้ในยามวิกฤติ พยายามทำให้เป็นบวกไว้เสมอ และจะดีมากถ้าคุณสามารถใช้มันนำคุณสู่เป้าหมายในอนาคตการรักษาสมดุลของกระแสไหลเข้ากับไหลออกให้ราบรื่นไม่มีสะดุด เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการหลุดพ้นจากปัญหาการเงิน ซึ่งมักเกิดขึ้นเพราะเรามัวแต่เพลิน “จ่ายมากกว่ารับ” ทันทีที่ค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ ภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดก็เริ่มขึ้นหลักง่าย ๆ ของ Cash Flow คือคุณจะมีสุขภาพการเงินที่ดีได้ ต้องใช้จ่ายให้สมดุลกับเงินที่มี เพื่อรักษาตัวเลขกระแสเงินสดให้ติดบวกเสมอ!ถึงตอนนี้แล้วคุณคงรู้ว่า “รวยกับจน” วัดกันที่ตรงไหน ไม่ต้องสงสัยแล้วใครรวย (จัง) หรือจน (จริง) ขอบคุณภาพประกอบ : Pexelsภาพปก / ภาพประกอบ 1 /ภาพประกอบ 2 /ภาพประกอบ 3 /ภาพประกอบ 4 /ภาพประกอบ 5