การ LOCKDOWN ที่กักตัวคนทั่วโลกให้อยู่กับบ้านแบบไฟต์บังคับ หาได้เป็นผู้ร้ายตลอดรายการอย่างที่คิดไม่ ยังแฝงคุณูปการไว้หลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันครอบครัว บทบาทเก่า - ทางเลือกใหม่ เมื่อต้นเดือนก.ค. อ่านพบใน YAHOO LIFESTYLE ว่าสตรีอเมริกันมากกว่า 16,000 รายลง IG ว่าได้โบกมือลาอาชีพ WORKING WOMAN แล้วสมัครใจเป็น “แม่ศรีเรือน” เต็มตัว หนึ่งในนั้นเล่าว่า เคยเป็นถึงผู้จัดการร้านค้าปลีก ทุกวันกว่าจะกลับถึงบ้านก็เลยสี่ทุ่ม ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยหมดสภาพแล้ว ยังต้องมาดูแลบ้านช่องอีก ไม่มีเวลาวิสาสะกับลูก ๆ หรือสามี ต่อมาจึงทำแค่งาน PART-TIME แล้วเริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบอยู่กับบ้านมากกว่า ยิ่งช่วง LOCKDOWN ไม่ได้ออกไปไหน โลกทัศน์จึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะได้ใส่ใจความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถือเป็นความภาคภูมิใจรายวัน การใช้ชีวิตที่ไม่กดดัน ฉุกละหุก ดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า นางซิน – นางฟ้า อันที่จริง การจะได้ชื่อว่าเป็น “ศรี” ของเรือนนั้น ต้องใช้ชีวิตแบบสองร่างในหนึ่งภพ ทุกวันต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ สวมวิญญาณนางซินเข้าครัวทำอาหาร วันธรรมดาเตรียมมื้อเช้าและมื้อเย็น ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์เพิ่มมื้อกลางวันด้วย รองลงมาคืองานบ้าน ต้องคอยจัดเก็บที่นอนหมอนมุ้ง ปัดกวาดเช็ดถูทุกห้อง ทำความสะอาดห้องน้ำ ซักและรีดเสื้อผ้า ถึงแม้จะอาศัยตัวช่วย อาทิ เครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น แต่ก็ยังกินเวลาและกินแรงจนเหงื่อไหลไคลย้อย พอเสร็จภารกิจประจำวัน นางซินก็จะไปขัดสีฉวีวรรณ ปะพรมน้ำหอมให้สดชื่น เพื่อเข้าสู่ร่างที่สอง แต่งองค์ให้งามน้อง ๆ นางฟ้าไว้รับหน้าสามีและลูก ๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ที่พลาดกันคือเผลอปล่อยตัว ยึดบทนางซินไว้ 24/7 พอนานวันเข้า แม้แต่เสน่ห์ปลายจวักก็มักจะเอาไม่อยู่ ผู้หญิง 2020 กับทางออกที่เลือกเอง ทั้ง ๆ ที่ทำทุกอย่างตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ “แม่ศรีเรือน” ฉบับ 2020 ก็ยังไม่พ้นเสียงวิจารณ์กระหน่ำ จากฝ่ายเรียกร้องสิทธิสตรี ว่ามีทัศนคติที่ “ล้าสมัย” ตามเนื้อหาในข่าว สตรีรายดังกล่าวอธิบายว่าสามีไม่ใช่ผู้ชายหัวโบราณ ที่มองว่าผู้หญิงควรรับผิดชอบงานบ้าน ช่วงที่ต่างฝ่ายต่างทำงานนอกบ้าน ก็แบ่งหน้าที่กันทำ ครั้งนี้ตนเป็นฝ่ายเลือกเอง ผู้หญิงในวันนี้ นอกจากมีทางออกมากกว่าเดิมแล้ว ยังมีอิสระที่จะเลือกบทบาทของตัวเองด้วย ภาษี อีกปัจจัยสำคัญ การตัดสินว่าสตรีที่เลือกดูแลความเป็นอยู่ของลูก ๆ และสามี เป็นคนเสียสละหรือถูกกดขี่ทางเพศนั้น ขึ้นอยู่กับบริบทและค่านิยมของสังคมนั้น ๆ แต่อีกปัจจัยที่ผลักดันให้เทรนด์นี้มาแรงคงจะหนีไม่พ้นเรื่องอัตราการเสียภาษี สำหรับผู้ที่มีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องที่ประเทศสหรัฐฯ คงจะเคยฟังมาบ้างว่าคู่สมรสชาวอเมริกันที่ยื่นเสียภาษีร่วมกัน ถ้าจากที่เคยมีรายได้เฉพาะจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วต้องเสียภาษี 10 % (ตัวเลขสมมุติ) แต่พอทำงานนอกบ้านทั้งคู่ มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง ก็ไม่ควรให้สูงจนถึงขั้นต้องเสียภาษีเป็น 20 % มิฉะนั้น รายได้ส่วนที่เพิ่มขึ้นมา เกินกว่าครึ่งหนึ่งจะถูกหักไปเป็นภาษีแทน จึงรู้สึกไม่คุ้มค่า สู้เอาเวลามาดูแลบ้านเรือนและสมาชิกในครอบครัวจะดีกว่า อีกทั้งไม่ต้องแบกความเครียดสะสมกลับมาจากที่ทำงานด้วย ผู้รับผลประโยชน์ตัวจริง ในกรณีนี้ ดูเผิน ๆ อานิสงส์จะตกที่ฝ่ายสามี เพราะมีการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบชัดเจน ฝ่ายชายออกไปทำงานหารายได้ ส่วนฝ่ายหญิงดูแลความเป็นอยู่และบ้านเรือน แต่ผู้รับผลประโยชน์ตัวจริงคือลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต เนื่องจากได้แม่คนใหม่ที่น่าจะยิ้มแย้มและอารมณ์ดีกว่าเดิม เมื่อมีแม่อยู่บ้านตลอดเวลา รู้สึกอบอุ่นใจ ได้ใกล้ชิดสนิทสนม มีคนให้ปรึกษาปรับทุกข์ด้วย ช่วยกันทำงานบ้าน ทำสวน เป็นเพื่อนร่วมทำกิจกรรม รับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน แม่จัดแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม เป็นระเบียบ ยามมีแขกไปใครมา ยิ่งภาคภูมิใจว่าแม่เป็นที่หนึ่งไม่แพ้ใคร เมื่อโตขึ้นและย้อนรำลึกอดีต จะพบกับความทรงจำของวัยเด็กอันทรงคุณค่า และสัมพันธภาพแนบแน่นภายในครอบครัว ซึ่งเงินตราเพียงถ่ายเดียว ไม่สามารถถักทอให้เกิดขึ้นได้ ถ้าลองพิจารณาการ LOCKDOWN ในมิติใหม่ ผู้ร้ายก็กลายเป็นพระเอกได้เช่นกัน พระเอกผู้บันดาลให้ WORKING WOMAN ทุ่มหมดใจให้กับบทบาทเก่าที่เป็นทางเลือกใหม่ เมื่อตัวต่อชิ้นสำคัญกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ภาพของบ้านจึงสมบูรณ์ มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของ “แม่ศรีเรือน” เรื่องโดย 1456 ขอบคุณรูปภาพจาก Pexels ภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7