ถ้าคนเราอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้น ทั้งที่รู้หลักการอะไรมาแล้วมากมาย เราควรแก้ไขปรับปรุงจากตรงไหนเป็นลำดับแรก คำตอบคือ "อุปนิสัย" ทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์ และ จอร์จ โซรอส ดูเหมือนจะมีแนวทางการลงทุนที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าพวกเขาทั้งสองกลับมีจุดร่วมที่เหมือนกัน หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เรากระจ่างแจ้งเรื่องของแนวความคิดของสุดยอดนักลงทุนระดับโลกทั้งสองคนกันครับ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Mark Tier และเรียบเรียงโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช (ใครที่ติดตามงานแปลของคุณชัชวนันท์จะทราบว่างานแปลดีมาก อ่านง่าย อ่านสนุกจริงๆครับ) แนวคิดที่ได้รับในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าบาปมหันต์ของการลงทุน 7 ประการ ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่ผิดสะสมมาช้านาน ได้แก่1.เชื่อว่าเราต้องทำนายความเคลื่อนไหวของตลาดได้ถูกต้องจึงทำผลตอบแทนที่ดีได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย2.เชื่อพวกกูรูว่าถ้าเราทำนายตลาดไม่ได้ก็ต้องมีคนอื่นที่ทำได้ สิ่งที่เราต้องทำคือหาคนนั้นให้เจอให้ได้3.เชื่อว่าข้อมูลวงในจะช่วยให้ทำเงินได้มหาศาล ทั้งทีเซียนหุ้นอย่างบัฟเฟตต์เขาก็ไม่มีข่าววงใน เขามีเพียงรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนก็ใช้ได้แล้ว4.กระจายการลงทุน เซียนหุ้นไม่กระจายการลงทุน แต่จะหาหุ้นที่เขามั่นใจว่าทำการบ้านมาดีแล้วทุ่มเงินลงทุนหุ้นในบริษัทนั้นๆ5.เชื่อว่าเราต้องเสี่ยงมาก หากจะทำกำไรให้ได้มาก ทั้งๆที่เซียนหุ้นเขาลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เสียหายจากการขาดทุน6.เชื่อในการมีอยู่ของระบบ อาจเป็นการวิเคราะห์เทคนิค วิเคราะห์พื้นฐาน โดยใช้คอมพิวเตอร์แล้วเชื่อว่าจะทำกำไรได้7.เชื่อว่าเรารู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต และมั่นใจว่าตลาดต้องเป็นไปตามที่เราคิด ได้เรียนรู้ว่าการลงทุนที่เสี่ยงสำหรับบางคนอาจดูไม่เสี่ยงเลยสำหรับอีกคน เพราะเรามักจะวัดความเสี่ยงของคนอื่นจากมาตรวัดของเราเอง เวลาเราคิดว่าเสี่ยง สำหรับจอร์จ โซรอสก็น่าจะเสี่ยงเช่นกัน ทั้งๆที่เขาเป็นนักเก็งกำไรระดับโลกที่มั่นใจว่ามีวิธีจัดการกับความเสี่ยงนั้นได้ ได้เรียนรู้ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงมักจะหลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยงสำหรับเขา เพราะความเสี่ยงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์อาจเสี่ยง แต่สำหรับจอร์จ โซรอสอาจจะไม่เสี่ยงเลยก็ได้ ได้เรียนรู้ว่าวิธีการลงทุนแบบเบน เกรแฮม คือ ใช้วิธีซื้อหุ้นหลายสิบตัว เพื่อให้ตัวที่ได้กำไรจากการที่หุ้นขึ้น มีมากกว่าหุ้นที่ขาดทุน มันเป็นหลักการแบบบริษัทประกันที่ใช้ในการออกกรมธรรม์ นั่นคือ แต่ละปีจะต้องได้ค่าเบี้ยประกันมากกว่าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน (เคลมประกัน) ได้เรียนรู้ว่าทุกคนมีปรัชญาชีวิตเป็นของตัวเอง คนส่วนมากมักเอาปรัชญาการลงทุนของคนอื่นมาใช้ทันทีแบบลอกมาใช้งานเลย บางคนเอาปรัชญาคนอื่นมาปรับพัฒนาให้เหมาะกับตัวเองแล้วค่อยใช้ มีไม่กี่คนที่คิดปรัชญาชีวิตขึ้นมาได้เอง ปรัชญาการลงทุนช่วยให้นักลงทุนรู้ว่าเรามีความเชื่อที่จะทำอะไรลงไป ได้เรียนรู้ว่าฟิลลิป ฟิชเชอร์ มีกฎการลงทุนว่าต้องลงทุนในอุตสาหกรรมที่ตัวเองเข้าใจ หรือลงทุนขอบข่ายแห่งความชำนาญ (Circle of Competence) โดยต้องครอบคลุมมิติทั้ง 4 ด้าน1.ต้องมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือมีทักษะความชำนาญทางการผลิต การเงิน การวิจัย หรือการตลาดที่เหนือกว่า2.ต้องมีฝ่ายบริหารที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นที่มาของผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม3.คุณลักษณะทางเศรษฐกิจของตัวธุรกิจ ต้องทำให้มั่นใจได้ว่า กำไรผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อัตรากำไร และการเติบโตของยอดขาย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่แล้วนั้น จะดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคตอย่างน้อยระยะหนึ่ง4.ราคาต้องน่าดึงดูด มีส่วนเผื่อความปลอดภัยระดับนึง ได้เรียนรู้ว่าฟิลลิป ฟิชเชอร์ รู้จักหาธุรกิจหรือหุ้นที่น่าสนใจจากรายงานประจำปีย้อนหลังไปหลายๆปี มันทำให้รู้ว่าอัตราการทำกำไรของบริษัทเป็นอย่างไร ความซื่อสัตย์ของผู้บริหารที่ผ่านมามีความคืบหน้าสมกับที่เคยวางแผนไว้หรือไม่ ถ้าจะให้ดีต้องคุยกับคนภายในบริษัทอย่างที่ฟิชเชอร์เคยทำมาก่อนจะให้ผลดีที่สุด ได้เรียนรู้ว่าหากหุ้นในพอร์ตที่ผ่านการคัดเลือกแบบกระจายการลงทุนราคาลดครึ่งหนึ่ง ความมั่งคั่งของนักลงทุนคนนั้นจะลดลงแค่ 0.5% แต่ถ้ามันเกิดกับนักลงทุนที่มุ่งเน้น ไม่กระจายการลงทุน ความมั่งคั่งจะลดลง 10% เลยทีเดียว ทั้งนี้ การเลือกหุ้น 100 ตัวที่คาดว่าราคาจะไม่ตก ยากกว่า การเลือกหุ้น 5 ตัวที่คาดว่าราคาจะไม่ตก อยู่แล้ว ดังนั้นการกระจายการลงทุนจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการลงทุนแบบมุ่งเน้นในหุ้นไม่กี่ตัว แต่มีคุณภาพที่ดี ได้เรียนรู้เกณฑ์ในการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งประกอบด้วย....1.เข้าใจในธุรกิจนี้หรือไม่ ถ้าไม่....ก็อย่าไปลงทุนหุ้นตัวนั้น2.ธุรกิจนี้มีสถานะทางเศรษฐกิจน่าดึงดูดหรือไม่3.ความน่าดึงดูดนั้นยั่งยืนแค่ไหน4.ผู้บริหารจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่5.เราอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจนี้หรือไม่ หากมีผู้บริหารชุดนี้ดังที่เป็นอยู่6.บริษัทให้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่7.ราคาหุ้นที่ปรากฏ เราพึงพอใจหรือไม่ ได้เรียนรู้ว่าความผิดพลาดในการลงทุน และ การขาดทุน เป็นคนละอย่างกัน นักลงทุนชั้นเซียนจะมองว่าถ้าเขาทำผิดพลาดไม่ทำตามระบบที่ตัวเองกำหนดไว้ ต่อให้ผลตอบแทนเป็นกำไร ก็จะถือว่าการลงทุนนั้นล้มเหลว เพราะสักวันหนึ่ง หากเขาไม่ทำตามระบบที่วางไว้ให้กับตัวเอง ต้องมีสักวันแน่ที่ต้องขาดทุนหนัก ทั้งนี้อาจเกิดจากเรื่องของอารมณ์ขุ่นเคือง ทำให้ตัดสินใจผิด หรือละเลยอะไรบางอย่างไปก็ได้ ความประทับใจและการปรับใช้ของครีเอเตอร์1.ได้เข้าใจว่าที่ผ่านมาครีเอเตอร์เคยเข้าใจผิดว่าต้องยอมรับความเสี่ยง จึงจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงได้ (High risk High return) ทั้งที่ความจริงคนรวยเขาเกลียดความเสี่ยงจนต้องหาทางจำกัดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด 2.ได้เข้าใจว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทุกคนเขาใช้แนวทางการลงทุนของคนอื่นก็จริงอยู่ แต่เขาประสบความสำเร็จถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตได้ เพราะเขารู้จักปรับประยุกต์แนวทางพวกนั้นเป็นปรัชญาที่เหมาะกับการลงทุนของพวกเขาเอง นี่จึงเป็นที่มาว่าเราสอนความรู้คนอื่นได้ แต่เราสอนให้เกิดทักษะไม่ได้เสมอไป ความเข้าใจจนเกิดเป็นทักษะนั้นอยู่ที่ความหยั่งรู้และความเข้าใจของคนๆนั้นด้วย 3.ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราต้องจัดการกับมันให้ได้ เพื่อจะได้เห็นโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น แบบที่เราไม่เสี่ยงเลย การกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นหลายอุตสาหกรรมทำให้ผลตอบแทนลดลง และการเลือกหุ้นน้อยตัวแต่ทำกำไรแน่ๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าการทุ่มเทตามหาเลือกหุ้นหลายๆตัว ทั้งหมดนี้คือแนวคิดที่ครีเอเตอร์จะต้องตระหนักเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนจากคนคุ้นเคยเกมการลงทุนหุ้นอยู่แล้วมาเป็นคนที่รู้เรื่องการลงทุนอย่างแท้จริง แล้วเราจะทำผลตอบแทนได้เต็มที่โดยไม่ต้องกระจายความเสี่ยงเลย เพราะเราเข้าใจจริง ประเมินความเสี่ยงแล้วยอมรับได้ ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องกระจายความเสี่ยงต่อไป การลงทุนคือเกมเพื่อเอาชนะ หากมือใหม่จะกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากสิ่งที่ตัวเองยังไม่รอบรู้ทั้งหมดก็ถือว่าทำถูกต้องแล้ว แต่ถ้าเราลงทุนมานาน แถมผ่านการเรียนรู้มานานพอสมควร แนวทางการลงทุนก็ควรจะปรับเปลี่ยนตามความรอบรู้ของเราด้วย และหนังสือนี้คือแนวทางการลงทุนของเซียนหุ้นระดับโลกใช้กันครับ เครดิตภาพภาพปก โดย wirestock จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย freepik จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ รู้เทคนิคพลิกกำไร คู่มือเทรดหุ้นสายกราฟ ฉบับมือใหม่รีวิวหนังสือ นั่งตกปลากับบัฟเฟตต์ (Gone Fishing with Buffett)รีวิวหนังสือ จับจังหวะซื้อขายหุ้นด้วย Indicatorsรีวิวหนังสือ เรียนหุ้นกับปีเตอร์ ลินซ์ (Learn to Earn) บทเรียนสำหรับผู้เริ่มต้นในการลงทุนรีวิวหนังสือ Stock Startup ลงทุนหุ้น VI (ครบจบในเล่มเดียว)7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์