จับจด เป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่ใกล้เคียงคำว่า หยิบโหย่ง หมายถึง คนที่ทำอะไรได้ไม่นาน เป็นคนค่อนข้างขี้เบื่อ มักมีนิสัยทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน (Multitasking) มักทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง เนื่องจากลำดับความสำคัญของงานที่จะทำ หรือเรื่องที่เผชิญอยู่ผิดพลาดไป ซึ่งมันเป็นปัญหาต้นๆของหลายๆคน รวมถึงผู้เขียนด้วย เนื่องจากเป็นคนขี้เบื่อ มักมีไอเดียและความคิดอยากทำโน้นทำนี่ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดได้ในเวลาเดียวกันคณะที่กำลังนั่งเฉยๆหรือใช้ชีวิตล่องลอยไปในแต่ละวัน วันนี้จึงได้หยิบยกปัญหานี้ และมาแชร์ แบ่งปันวิธีการแก้ให้เพื่อๆชาว ทรูไอดี และแด่ทุกๆท่านที่ประสบปัญหาเดียวกับผู้เขียน ถ้าพร้อมแล้ว.... ไปอ่านกันจ้า ^^ “จับจด” นิสัยนี้เจริญยาก!!! แต่แก้ได้ | #อย่าหาว่าน้าสอนเค้าว่า "จงระวังความคิด เพราะมันจะกลายเป็นคำพูดจงระวังคำพูด เพราะมันจะกลายเป็นการกระทำจงระวังการกระทำ มันจะกลายเป็นนิสัยจงระวังนิสัย มันจะกลายเป็นโชคชะตาและจงระวังโชคชะตา เพราะมันจะกลายเป็นความคิดวนลูปอย่างนั้น" ปัญหามนุษย์จับจดที่หลายคนมักประสบและหาทางออกจากวนลูปของความหายนะนี้ ไม่ได้สักที บางทีอาจเกิดจากการละเลยเรื่องเล็กน้อยๆในการสร้างนิสัยในตนเอง ทั้งในด้านการเรียน การทำงาน และกิจวัตรประจำวันที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยากกับ 3 วิธีแก้นิสัยจับจด1. ท่องคาถาประจำใจ ขยันผิดที่ กี่สิบปีก็ไม่เจริญ เป็นคำที่อธิบายให้ใครหลายคนเห็นภาพได้ไม่ยากว่า ความขยันไม่เคยทำร้ายใครก็จริง ถ้าเลือกใช้อย่างผิดๆเราอาจกำลังเสียเวลาโดยใช่เหตุ บางคนเขียนเป้าหมายได้เป็นสิบๆหน้าแต่มันจะไม่มีผลดีอะไรเลยหากเราไม่ได้ลงมือทำมัน เป้าหมายที่ดีควรเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้ในระยะสั้นแต่เป็นผลดีในระยะยาว เช่น กำหนดช่วงเวลาอ่านหนังสือวันละ 15 นาที ระหว่างพักทำงาน ย่อยงานที่ต้องทำให้เสร็จ เขียน to-do list ประจำวัน เพื่อย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่เราค้างคาอยู่ หรือเรื่องราวต่างๆที่ต้องทำให้สำเร็จภายในหนึ่งวันนั้นๆ เป็นต้น 2. เติมไฟให้ตนเองอยู่เสมอบางครั้งการเข้มงวดกับตัวเองเกิดไป อาจทำให้หลายครั้งๆไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราวางไว้ และในทางกลับกันการไม่บังคับตัวเองเลยก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นเมื่อรู้สึกขี้เกียจหรือหมดไฟเมื่อไหร่ กำหนดระยะเวลาขี้เกียจ หรือเวลาปล่อยวางปัญหานั้นๆสัก 15-30 นาทีสูงสุด หากครบกำหนดเวลาที่วางไว้แล้วไม่หายก็ต้องสอนตัวเองให้เห็นถึงผลที่จะตามมาเชิงลบ ย้ำว่าเชิงลบขั้นรุนแรงเพื่อราดน้ำมันไฟให้ลุกติดไฟใหม่อีกครั้ง ที่สำคัญคือ เวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพียงแต่เราต้องลองปรับให้เข้ากับตัวเองด้วยการเริ่มด้วย Routine ที่ชอบก่อนทำงาน หรือทำอะไรก็ตามที่รู้สึกว่าฝืนตัวเองอยู่ ต้องคิดไว้เสมอว่ามนุษย์เราไม่ได้เกิดมาให้รอดไปวันๆแต่เราต้องการใช้ชีวิตต่างหาก เพราะฉะนั้นเลือกสิ่งที่ใช่และเหมาะกับชีวิตของเราให้มากที่สุด 3. สร้างนิสัยเชิงบวก จากประสบการณ์ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างเป็นคนที่รู้ตัวเองดีว่ามีนิสัยเสียหลักๆในชีวิตอยู่ 2 ข้อ คือ ขี้เกียจและไม่รอบคอบ เป็นข้อเสียหลักๆที่ถ่วงความเจริญอย่างมาก และพยายามแก้ไขมันอยู่เรื่อยๆ ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงสำเร็จบ้าง ล้มเหลวมากกว่าก็มี มันเกิดจากนิสัยสุดโต่งของผู้เขียนเองที่บางครั้งตึงเกินไปและหย่อนเกินไปจนหาความพอดีในการใช้ชีวิตไม่ถูก เพราะฉะนั้น.......... สิ่งที่อยากแนะนำให้ทุกๆท่านที่ประสบปัญหาเดียวกัน รับรู้ไว้ว่า ชีวิตเรามีแค่ชีวิตเดียว เกิดมาแล้วต้องใช้ให้คุ้ม แต่บางประสบการณ์เราอาจไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง แค่เลือกปรับใช้ให้เหมาะสม ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป หาความพอดีของชีวิตให้ได้แล้วเราจะมีความสุขเองวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ฉบับผู้เขียน1. การจัดการปัญหารุมร้าว การระบายเป็นตัวอักษร(ไดอารี่) เพราะส่วนตัวแล้วมีนิสัยรับฟังคนอื่นมากกว่า และมองเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตว่ามันคือ บทเรียนๆหนึ่ง ครั้งหนึ่งเคยพลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง แต่หากเผลอพลาดอีกก็คงต้องรับแล้วล่ะ ว่ามันเป็นความโง่เขลาและความผิดพลาดของตัวเองที่ยอมรับ + ไม่โทษตัวเองเด็ดขาด เพราะแค่นี้เราก็บอบซ้ำมามากแล้ว แค่ต้องยอมรับ แก้ไข และไปต่อ ชีวิตมันมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราได้พบเจอ 2. การบริหารการทำงาน ส่วนตัวเป็นคนขี้เบื่อ แต่ชอบเรียนรู้ มีแบบแผนในชีวิต แทบเรียกได้ว่าเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส เมื่อผิดแผนไปจากที่วางก็รู้สึกเหมือนโลกจะแตก วุ่นวายใจไปหมด และบางที่ก็ชิวเกินไป มองโลกในแง่ดีเกินไปด้วยซ้ำ มารีบตอนไฟรนก้น กับงานเล็กๆก็ไม่หนักอะไรหรอก มาเจอกับงานใหญ่ โปรเจคโตๆ เล่นไม่รับไม่นอน หามรุ่มหามค่ำจนเสียสุภาพก็ไม่ไหว ดังนั้น........ สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ การประมาณตัวเอง การย่อยงานจึงเป็นวิธีง่ายๆที่หลายคนมักมองข้าม แต่สำหรับผู้เขียนกลับมองว่ามันเป็นวิธีที่เพิ่มไฟ และความขยันสไตล์คนขี้เกียจได้เป็นอย่างดี 3. วางเป้าหมายที่จำต้องได้ คำว่า Life และ Goals มีผลต่อความสำเร็จทั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไหนมาก่อนกัน ทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กัน สิ่งที่ผู้เขียนเลือกคือ การวางเป้าใหญ่(ภาพรวม) สิ่งที่อยากทำ + ความเป็นไปได้ เพราะบางครั้งเป้าเราใหญ่เกินตัว และอาจไม่ใช่สิ่งที่อยากได้จริงๆเลยไม่เต็มที เมื่อนึกย้อนไปกลับ สิ่งที่เสียดายที่สุดคือ คำว่า ฉันทำได้ดีกว่านี้อีก ในวันที่มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว วันนี้........ ปัจจุบัน สำคัญที่สุด ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มาเริ่มต้นนิสัยใหม่ๆ เพื่อเป้าหมายในชีวิต ล้วนมาจากการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ไม่มีใครเปลี่ยนชีวิตเราได้ดีเท่าเรารักตัวเองให้มากขึ้น โดยการเลือกหนังสือดีๆ เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางกับหนังสือยอดนิยมที่ทุกคนต้องมีติดตัว เรื่อง Atomic habbit เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ชีวิตเจริญขึ้นได้จริง เพียงแค่อ่านจบเล่มนี้ รับรองว่าชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะทุกเรื่องราวที่ได้ถ่ายทอดออกมาจากหนังสือเล่มนี้คือผู้เชี่ยวชาญที่ผู้คนให้การยอมรับและปฏิบัติกันทั่วโลก จับจดเป็นนิสัยที่ถ่วงความเจริญของใครหลายๆคน แต่ใช่ว่าแก้ไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเราที่ต้องเลือกโชคชะตาของตัวเอง จากรายการอย่าหาว่าน้าสอน แม้ไม่ได้กล่าวถึงวิธีการแก้เป็นข้อๆโดยตรงจากบทสัมภาษณ์นักศึกษาทั้งหนึ่งที่ได้โทร.ขอคำปรึกษา และเชื่อว่าทั้งสามวิธีที่ได้เสนอไปข้างต้น จากการถอดบทเรียนจากการฟังเพื่อเป็นแนวทางในการแก้นิสัยจับจด และเปลี่ยนแปลงนิสัยให้เป็นโชคชะตาทีดีๆ เฮงๆ ปังๆ ได้ไม่ยาก อย่าให้อนาคตของเราวนลูปในหายนะของการกระทำของเราในปัจจุบัน เมื่อเราได้เรียนรู้แล้วว่าเวลาที่เสียไปมันไม่เวิร์คก็แค่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตัวเอง เพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้น เพราะความหอมหวานของความสำเร็จเกิดจากการเติบโต สิ่งที่เราทำตอนอายุ 22 - 30 จะสะท้อนสิ่งที่เราเป็นตอนอายุ 30-40 ตอนนั้นแหล่ะ มันคือ That's life #อย่าหาว่าน้าสอน เรียบเรียงโดยผู้เขียนที่มา: ภาพปก, 1, 2, 3, 4 ผู้เขียนที่มา: คลิปที่ 1 @TheBookTeller , 2 @NANAKE555อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !