เมื่อพูดถึง 'โบราณวัตถุ' (Antique) มักจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับอาถรรพ์และคำสาปเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่ประเทศไทยของเราแต่เรื่องนี้เป็นกันทั่วโลก หากเราลองสังเกตแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หนังผจญภัยสุดอมตะอย่าง อินเดียน่าโจนส์ (Indiana Jones) น่าจะเป็นข้อยืนยันว่าความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ที่มาพร้อมกับโบราณวัตถุ เป็นแนวคิดที่มีอยู่ร่วมกันของคนทั่วโลก เช่นเดียวกับบทความนี้ที่จะนำพาทุกคนไปค้นหาความลับเกี่ยวกับอาถรรพ์และคำสาปจากมัมมี่แห่งอียิปต์ ซึ่งทุกเรื่องได้ถูกบันทึกไว้โดยนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีหลายชีวิตเรื่องอาถรรพ์และคำสาปจากอียิปต์มาพร้อมกับธุรกิจลักลอบค้ามัมมี่ หลายคนอาจสงสัยว่าใครจะพิเรนทร์ขโมยมัมมี่ไปขาย แต่จากบันทึกที่พบในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16-18 ชาวยุโรปทำการขโมยมัมมี่ไปขายให้กับนายทุนในแวดวงการเกษตร การแพทย์ และวงการศิลปกรรมที่กำลังเฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่งในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) มัมมี่ยอดนิยมที่ถูกลักลอบไปขายให้กับนายทุนภาคเกษตร คือมัมมี่แมวที่เป็นวัตถุดิบการทำปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม จากบันทึกอ้างว่ามีการนำมัมมี่แมวมาใช้ทำปุ๋ยหมักทั้งสิ้นกว่ายี่สิบตันส่วนมัมมี่ที่เป็นร่างของมนุษย์ เป็นที่ต้องการของวงการแพทย์ เรียกได้ว่ามีพ่อค้าที่ขายมัมมี่อยู่เกลื่อนถนนไม่ต่างกับการขายผักขายปลาในตลาดยุคนี้ มัมมี่คนถูกนำไปทำเป็นยารักษาโรคเนื่องจากเชื่อว่ามีน้ำมันดิน (Bitumen) ที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของเหล่าศิลปินในการนำมาบดรวมกับเรซินและมดยอบ กลายเป็นสีที่เรียกว่า มัมมี่บราวน์ (Mummy Brown) ซึ่งเป็นสีที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเคลือบเงา นิยมนำไปใช้ในงานประเภทลงสีแรเงากันอย่างแพร่หลายการลักลอบเข้าไปยังสุสานที่เก็บมัมมี่เริ่มลุกลามจนทำให้เกิดความเสียหาย หัวขโมยเริ่มคิดการใหญ่เปลี่ยนแผนขโมยมัมมี่แมวกับคนธรรมดา ไปเป็นการบุกรุกพีระมิดซึ่งเก็บพระศพของชนชั้นสูงอย่างนักบวช ขุนนาง จนกระทั่งฟาโรห์และราชินี แม้แต่นักโบราณคดีทางฝั่งยุโรปก็คิดเคลื่อนย้ายมัมมี่เหล่านี้ไปเก็บยังพิพิธภัณฑ์เพื่อทำการศึกษา เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการรบกวนมัมมี่ฟาโรห์ จึงเกิดบันทึกเรื่องราวว่าด้วยอาถรรพ์และคำสาปตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาถรรพ์เรือเบียทริซ (Beatrice) อับปางลงในห้วงมหาสมุทร ระหว่างการขนโลงศพของฟาโรห์เมนคาอูเร (Menkaure) เจ้าของพีระมิดองค์เล็กสุดในมหาพีระมิดแห่งกีซา ไปเก็บยังพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1838หรือจะเป็นบันทึกของ ดร. ซาฮี ฮาวาสส์ (Dr. Zahi Hawass) นักโบราณคดีชื่อดังซึ่งได้พบโลงศพบรรจุมัมมี่ครอบครัวหนึ่ง หุบผามัมมี่ทองคำบริเวณโอเอซิสตะวันตกของอียิปต์ และได้เคลื่อนย้ายโลงศพมัมมี่เด็ก 2 ร่างไปเก็บยังพิพิธภัณฑ์โอเอซิส หลังจากนั้นได้ฝันเห็นเด็กยื่นมือมาบีบคอซ้ำ ๆ อยู่หลายต่อหลายคืน จึงฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาจเป็นอาถรรพ์จาการเคลื่อนย้ายมัมมี่เด็กให้แยกออกมาจากมัมมี่ผู้เป็นพ่อ ความแปลกของเรื่องนี้นั่นคือ ดร. ซาฮี ไม่ฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้นอีกเลย เมื่อนำมัมมี่เด็กเคลื่อนย้ายกลับไปยังที่เดิมแต่อาถรรพ์มัมมี่ที่เฮี้ยนที่สุดคงเป็นเรื่องมัมมี่นักบวชหญิงชั้นสูงในสุสานแห่งเมืองลักซอร์ ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ มีป้ายบอกชื่อว่า Unlucky Mummy แปลเป็นภาษาไทยก็คงทำนองว่า มัมมี่อาถรรพ์ มัมมี่แห่งโชคร้าย ชื่อเรียกนี้มาจากเหตุการณ์ที่นายทุนชาวอังกฤษ 4 ราย ที่ทำตัวเป็นป๋าควักเงินจำนวนมหาศาลซื้อมัมมี่นักบวชหญิงร่างนี้ไปครอบครองในราคาหลายพันปอนด์ แต่หลังจากนั้นทั้ง 4 รายก็ประสบเคราะห์กรรมต่างกันออกไป รายแรกเดินเหม่อหายเข้าไปในทะเลทรายจนหาตัวไม่พบอีกเลย รายที่สองบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิง รายที่สามกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ส่วนรายสุดท้ายตายจากโรคร้ายที่หาสาเหตุและวิธีการรักษาไม่ได้ และไม่เพียงแต่นายทุนอังกฤษทั้ง 4 รายเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับจุดจบอันแปลกประหลาด เพราะไม่ว่าใครที่ครอบครองมัมมี่นักบวชหญิงร่างนี้ ต่างก็ต้องพบกับความฉิบหายวอดวายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ เกิดอัคคีภัยกับที่อยู่อาศัย จนท้ายที่สุดต้องมอบให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษเก็บรักษาเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของธุรกิจบาปจากการลักลอบค้ามัมมี่ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต นำมาซึ่งอาถรรพ์และคำสาปที่ถูกบันทึกไว้ให้เราได้เรียนรู้กันในยุคสมัยต่อมา คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตอกย้ำความเชื่อเรื่องอาถรรพ์จากโบราณวัตถุให้เข้มข้นขึ้นไปได้อีก อย่างไรก็ตามเรื่องทั้งหมดเป็นบันทึกส่วนตัวของนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยก็แล้วกันเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Skitterphoto : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 1 โดย Unknow Author : Wikimedia Commons (Public Domain)- ภาพประกอบที่ 2 โดย ESD-SS : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Ddouk : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Alexandra_Koch : PIXABAY