เราจะมีวิธีบริหารจัดการเงินหรือรับมือกับเหตุการณ์สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงขึ้นอย่างไรให้เงินในกระเป๋าอยู่รอดได้นานและประหยัดเพิ่มขึ้น บทความนี้จะมาแชร์ไอเดียการรับมือกับปัญหาดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางและมุมมองการใช้ชีวิตให้ได้รับผลกระทบน้อยลง ซึ่งไอเดียที่นำมาเสนอดังกล่าวนี้เป็นไอเดียของผู้เขียนที่ใช้อยู่ในชีวิตจริงประจำวัน โดยจะขอนำเสนอตัวอย่างสัก 7 ไอเดีย ดังต่อไปนี้1. เปรียบเทียบราคาก่อนซื้อผู้เขียนเชื่อว่าคนส่วนมากก็คงทำกันอยู่แล้วในเรื่องของการเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อสินค้าใดๆ แต่สำหรับใครที่อาจจะมองว่าเป็นการเสียเวลาก็อาจจะต้องลองเปิดใจมาลองเปรียบเทียบราคาดู เพราะการเปรียบเทียบราคาสินค้าเพื่อหาร้านค้าหรือแหล่งขายที่มีราคาถูกกว่ากันนั้นจะช่วยให้เราประหยัดได้ แม้ว่าบางครั้งสินค้านั้นราคาอาจจะต่างกันแค่ 1-2 บาท แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า 1-2 บาทหลายชิ้น/หลายครั้งมันก็รวมเป็นเงินหลายบาท ซึ่งเราสามารถนำเงินตรงนี้ไปทบเพิ่มรายจ่ายส่วนอื่นได้อีกก็จะช่วยให้เราประหยัดเพิ่มขึ้น2. ใช้ชีวิตให้ประหยัดในทุกๆด้านในเมื่อค่าครองชีพมันแพง อะไรที่เราประหยัดได้ก็ต้องประหยัด เพราะจะทำให้เรามีเงินเหลือใช้ได้นานขึ้นหรือไม่ก็ทำให้มีเงินออมนิดๆหน่อยๆเป็นเงินสำรองให้ตัวเราเองสบายใจ อย่างเช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟที่เราต้องจ่ายทุกเดือนนั้น เราจะต้องจ่ายแพงหรือถูกก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเราประหยัดการใช้ก็จะทำให้ค่าน้ำ-ค่าไฟถูก แต่ถ้าเราใช้สิ้นเปลืองมันก็จะแพงไปตามนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีค่าโทรศัพท์ที่เราสามารถประหยัดได้ด้วยการใช้แอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์โทรฟรีอย่างแอป TrueID ซึ่งแจกนาทีโทรฟรีเดือนละ 60 นาที เป็นต้นรู้ยัง ? แอป TrueID โทรหาเบอร์มือถือ กับ เบอร์บ้านได้ฟรี3. ซื้อของจากห้างร้านท้องถิ่นหากในจังหวัดของเราหรือในอำเภอที่เราอาศัยอยู่มีห้างหรือร้านค้าท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่ขายทั้งส่งและปลีก เราอาจเลือกซื้อสินค้าจากสถานที่เหล่านี้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากสินค้าหลายรายการในห้างท้องถิ่นมักมีราคาถูกกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วไป หรือในบางสินค้าอาจมีราคาถูกกว่าร้านขายของชำด้วย อย่างในจังหวัดที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ก็มีห้างท้องถิ่นหลายเจ้า ซึ่งผู้เขียนเคยเทียบราคาสบู่สมุนไพรกลั่นยี่ห้อหนึ่ง ก็ได้เห็นว่าร้านสะดวกซื้อขายก้อนละ 35 บาท แต่ห้างท้องถิ่นขายก้อนละ 29-30 บาท ยิ่งถ้าซื้อยกโหลก็เฉลี่ยถูกลงอีก ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับการประหยัดเงินในกระเป๋า4. ใช้คะแนนสะสมแลกส่วนลดอีกหนึ่งวิธีการประหยัดรายจ่ายหรือเงินในกระเป๋า เราสามารถทำได้ด้วยการใช้คะแนนสะสมแลกส่วนลดค่าสินค้าและบริการ ซึ่งคะแนนสะสมที่พูดถึงอยู่นี้ หมายถึงคะแนนที่เราได้รับจากการเป็นลูกค้าบริการใดบริการหนึ่งและเรามีการใช้จ่ายตามเงื่อนไขของการใช้บริการนั้น เช่น เป็นลูกค้าของทรูมีคะแนน True Point เป็นลูกค้าเซเว่นมีแต้ม ALL member เป็นลูกค้าโลตัสมีแต้ม Club Card เป็นลูกค้าบิ๊กซีมีคะแนน BIG Point ฯลฯ โดยที่เราสามารถใช้คะแนนสะสมเหล่านี้แลกส่วนลดค่าสินค้าได้ตามโปรโมชั่น5. ซื้อของใกล้หมดอายุในห้างผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนรู้เทคนิคนี้แต่สำหรับใครที่ไม่รู้ก็ลองสังเกตดูได้ คือ ห้างอย่างโลตัส บิ๊กซี ท็อป แม็กซ์แวลู ฯลฯ บ่อยครั้งมักจะมีสินค้าแผนกของสดหรือตู้แช่ที่ใกล้หมดอายุหรือกำลังจะหมดอายุ นำมาติดป้ายลดราคา 25% - 50% ในช่วงเวลาประมาณ 5-6 โมงเย็น เช่น ผักสด ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ขนมปัง ข้าวกล่องปรุงสำเร็จ เครื่องดื่มประเภทนม และอื่นๆ ซึ่งช่วยให้เราซื้อของเข้าบ้านได้ในราคาถูก และแม้ว่าบางอย่างจะถึงวันหมดอายุตามฉลากแล้ว แต่ก็สามารถเก็บต่อในตู้เย็นได้อีกสักระยะ วิธีนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการประหยัด6. สั่งสินค้าออนไลน์จากแอปหรือเว็บไซต์แอปกับเว็บไซต์เป็นแหล่งที่มักแจกส่วนลดอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็จะช่วยให้เราประหยัดได้มากขึ้น เพราะแอปพลิเคชันกับเว็บไซต์ขายของออนไลน์รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ต่างๆ จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการจัดโปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้าให้มาใช้งานแพลตฟอร์มของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการแจกโค้ดส่วนลด ฟรีค่าจัดส่ง แจกคูปอง ให้เงินคืน สินค้า 1 บาท และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราสามารถซื้อของกินของใช้ได้ในราคาที่ถูกลงมาก7. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงฟังดูแล้วบางคนอาจจะงงว่าเกี่ยวข้องกับการรับมือสินค้าแพงยังไง ในมุมมองของผู้เขียนมองว่าในเมื่อข้าวของมันแพงขึ้น แต่รายได้เราอาจจะเท่าเดิม เราก็ควรปกป้องเงินรายได้ให้อยู่กับเรานานๆ นั่นแปลว่าถ้าสุขภาพของเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะต้องเสียเงินเพื่อซื้อยาหรือจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งมันคงดีกว่าถ้าเราไม่ต้องมาเสียเงินให้กับสิ่งเหล่านี้ จะได้มีเงินเหลือเอาไว้ไปทำอย่างอื่น ดังนั้น เราต้องดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้ดีนั่นเองสุดท้ายการที่สินค้าต่างๆมีราคาแพงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นมาทุกยุคทุกสมัยและเป็นกันแทบทั้งโลก เหมือนที่เราเคยได้ยินว่าก๋วยเตี๋ยวสมัยก่อนรุ่นปู่ย่าตายยายชามละไม่กี่สตางค์ แต่พอมาถึงทุกวันนี้ราคา 40-50 บาทขึ้นไป ถ้าคนรวยยุคเก่ามีเงินจำนวนมากที่ 100 บาท หากเขาไม่ลงทุนต่อยอดเพื่อทำให้เงินงอกเงย แต่เก็บไว้นิ่งๆ เงิน 100 บาทของเขาในตอนนั้นก็คงเป็นเงินน้อยในตอนนี้ จึงทำให้ได้ข้อคิดว่าเราต้องหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนด้วย แล้วแบ่งรายได้รายรับต่างๆของเราไปลงทุนให้มันงอกเงยออกดอกออกผลเพื่อให้มีมากขึ้น เพราะเราหนีเงินเฟ้อไม่ได้จริงๆขอบคุณภาพปกจาก Freepik โดย freepic-dillerภาพประกอบโดย : ผู้เขียน // ติดตามผลงานอื่นของผู้เขียนได้ที่ @ArtVichเรื่องราวอื่นที่น่าสนใจรีวิว TrueID In-Trend แค่เขียนบทความ…ก็ได้เงินใช้รีวิว : สมัครพร้อมเพย์ "กรุงไทย" ผ่านแอป Krungthai NEXTรีวิว “วอลเปเปอร์เสริมดวง” ด้าน "การเงิน" ที่ใช้แล้วดี มั่งมี มั่งคั่งชวนปลูก "ผักสวนครัว" กินเองที่บ้าน ปลอดภัย และอาจสร้างรายได้เสริมเผยเคล็ดลับ ! โอนเงินจาก TrueMoney Wallet เงินเข้าธนาคารทันที ฟรีค่าธรรมเนียมเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !