หุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว .... การจะหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทางรอดคือการลงทุนหุ้นต่างประเทศ แล้วสถานการณ์แบบนี้เรายังสามารถหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือ ??? คำตอบคือมี แต่อาจจะไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนยิ่งใหญ่จนทำให้กลายเป็นมหาเศรษฐีเหมือนอย่างที่เคยมีคนอื่นทำได้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เขียนบทความรวมเป็นหนังสือเล่มนี้ พยายามมองตัวเองว่าถ้าตนยังเป็นหนุ่มทำงานประจำ เขาจะลงทุนอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดในระยะยาว และนี่คือบันทึกการลงทุนในช่วงปี พ.ศ.2566 เนื้อหาภายในเล่ม 1 ในวันนี้ถ้าย้อนอายุกลับไปที่ประมาณ 25 ปีได้ ผมจะลงทุนอย่างไร?... 2 ปรับความคิดพิชิตการลงทุน, 3 ศิลปะการลงทุนระยะยาว 4 กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สั้นที่สุด. 5 Macro Investing-สไตล์ VI 6 ศิลปะการโกง VI 7 ประเมินกลยุทธ์ VI 8 การอพยพครั้งใหญ่ของ VI 9 เส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างหุ้น Value-Growth-Corner. 10 หุ้น Corner-Extreme 11 หุ่นเปลี่ยนชีวิต 12 ลงทุนในหุ้นท็อป 10 13 ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต 14 เล่นหุ้นที่เกลียด 15 เล่นหุ้นในตลาดหมี 16 หลักคิดของนักเลือกหุ้นระดับเซียน 17 เลือดนองตลาดหุ้น 18 Animal Spirits หรือคิดด้วยเหตุผล 19 บทบาทผู้กํากับตลาดหุ้น 20 Stocks Challenge-เกมดวลหุ่น 21 ทศวรรษที่หายไป vs ทศวรรษแห่งความรุ่งโรจน์ 22 เส้นทางสู่ความมั่งคั่งในชีวิต 23 บริหารเงิน vs บริหารสุขภาพ 24 อาชีพในฝัน-เต้นรำไปทำเงิน 25 E-Day : เคลื่อนทัพสู่ทำเนียบ 26 ประสบการณ์แบงก์รัน-แบงก์ล้ม 27 อวสานของตลาดทุน 28 อวสานของการลงทุนหุ้นต่างประเทศ. 29 การต่อสู้ 30 ฟ้าหลังฝน 31 เผชิญหน้าเหยื่อ “ไลน์ ดร.นิเวศน์” 32 การปรับตัวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2567 33 จินตนาการประเทศไทยในอนาคต 34 Big Dragon vs Little Dragon 35 เคล็ดลับลงทุนหุ้น 36 เสือร้องไห้ 37 มหัศจรรย์ตลาดหุ้นอินเดีย 38 ไทย-จีน ตลาดหุ้นป่วยแห่งเอเชีย 39 การปรับพอร์ตหุ้น 40 เพลงรักนักลงทุน ความรู้ความประทับใจที่ได้ภายในเล่ม 1.การคาดการณ์ประเมินดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลงในแต่ละปีมักขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น *ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจของปีนั้นว่าดีหรือแย่เมื่อเทียบอัตราเฉลี่ยที่ควรจะเป็นในช่วงนั้น *อัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับแบงก์ชาติ กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด *เรื่องของความถูก ความแพงของตลาดหุ้น (ค่า P/E ของตลาด) *การซื้อหรือขายหุ้นสุทธิของชาวต่างชาติ *สิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ส่งผลรุนแรง เช่น วิกฤติซับไพรม์ในปี 2008 น้ำท่วมใหญ่ปี 2011 การระบาดของโควิด ฯลฯ 2.เราแน่ใจได้อย่างไรว่ากลยุทธ์ถือหุ้นตลอดไปนั้นดีกว่าการเทรดหุ้น? คำตอบก็คือ ถ้ามองแบบภาพใหญ่ว่าหุ้นในตลาดนั้นในระยะยาวจะมีกิจการที่ดีเยี่ยมจริง ๆ เพียงไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ หรือบางทีอาจจะบอกว่ามีแค่ประมาณ 40-50 ตัว ส่วนหุ้นที่แย่และในที่สุดก็ล้มเหลวไปเลยอาจจะมีประมาณ 100 ตัว ที่เหลืออีก 600-700 ตัวเป็นหุ้นปานกลางที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ดังนั้นถ้าเราเลือกหุ้นที่คาดว่าจะดีแล้วเป็นส่วนใหญ่ เราก็จะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดในระยะยาว แม้ว่าหุ้นบางตัวเราจะพลาดและขาดทุนหนักไปเลยก็ตาม 3.ประชากรของไทยก็เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แล้วตลาดหุ้นก็สะท้อนภาพนั้นสังเกตได้จากในช่วงประมาณ 8-9 ปีที่ผ่านมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นเลย เช่นเดียวกับการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตน้อยมาก ทำให้ “ภาพใหญ่” น่าจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า “ภาพเล็ก”เปรียบเทียบว่า ประเทศก็เหมือนน้ำ บริษัทเหมือนปลา ถ้าน้ำไม่ดี ปลาก็มักจะอยู่ยาก ไม่ต้องพูดว่าจะแข็งแรงเติบโต การเน้นแต่เลือกหุ้นที่ดี เป็นหุ้น “VI” ที่เก่งกว่าหุ้นอื่นและเอาชนะหุ้นอื่นได้ เราก็อาจจะพลาด ประการแรกก็คือ ถึงหุ้นนั้นจะเป็นบริษัทที่ดีหรือดีมาก แต่มันก็อาจจะทำได้แค่ดีพอใช้ในสถานการณ์ที่เหมือนกับการ “ว่ายน้ำสวนกระแส” ประการที่สองก็คือ ต่อให้หุ้นนั้นดีมาก แต่ตลาดอาจจะกำลังเล็กลง หุ้นก็คงไปไหนไม่ได้ไกลในระยะยาว 4.ถ้าลงทุนเลือกหุ้นแบบ “ซูเปอร์สต็อก” สัก 10 ตัว ซื้อแล้วถือไว้นานเป็น 10 ปี และหากเลือกหุ้นได้ “ถูกตัว” สัก 2-3 ตัว ผลตอบแทนที่ได้ก็จะยอดเยี่ยมและอาจเปลี่ยนชีวิตได้เลย โดยที่เรา “แทบจะไม่ต้องทำอะไร” และอาจจะเรียกวิธีการลงทุนแบบนี้ว่าเป็นแนว “กึ่งแพสซีฟ”ซึ่งมีการซื้อและขายหุ้นน้อยมาก 5.วิธีที่ง่ายและน่าจะได้ผลดีในการที่จะหาหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคตก็คือ หาจากหุ้นที่ใหญ่ที่สุด อาจจะประมาณ 20 ตัว โดยเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน จากนั้นก็ไล่ลงมาเรื่อย ๆ แต่ถ้าพบว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่ได้รับการคัดเลือกไปก่อนหน้าแล้ว เราก็ตัดหุ้นตัวนั้นทิ้ง เพราะเราต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ไม่ต้องการให้มีหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันในหุ้น 10 ตัวของเรา นอกจากนี้ ถ้าพบว่าหุ้นที่เราจะเลือกเป็นหุ้นที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผลประกอบการผันผวนมากและขึ้นอยู่กับราคาวัตถุดิบมาก ๆ เช่น เหล็กหรือสินค้าการเกษตรบางอย่าง เราก็จะพิจารณาตัดออก เพราะในระยะยาวแล้วหุ้นเหล่านั้นก็ยากที่จะมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องและเติบโตกลายเป็นหุ้นท็อป 10 ในอีก 10 ปี ข้างหน้า 9.มีปัจจัยทางด้านพื้นฐานอะไรที่จะทำให้ดัชนีปีหน้าดีขึ้น ซึ่งก็จะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้แรงพอ ประการแรกก็คือ ภาวะเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่าจะดีขึ้น เป็นผลจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น การส่งออกที่จะดีขึ้น ประการที่สองก็คือ เรื่องดอกเบี้ยที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าคงไม่เพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลงยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม อาจจะมีโอกาสบ้างเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนจนไม่น่าจะมีปัญหา ประการสุดท้าย ก็คือ เรื่องของการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ 10.การเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจะส่งผลไปถึงตลาดหุ้น โดยเรื่องนี้ก็ต้องกล่าวถึงปัจจัย 3 ประการ ของการเติบโตทางเศรษฐกิจคือ 1. การเพิ่มของประชากร 2. คุณภาพของประชากรที่อาจจะวัดจาก IQ และ EQ หรือวัฒนธรรมของสังคม 3. ระบบการปกครองที่เอื้อหรือไม่เอื้ออํานวยต่อการดำเนินการทางเศรษฐกิจ 11.จากประสบการณ์“เซียนตัวจริง” ที่เน้นลงทุนระยะยาวและอยู่ในตลาดมานานมากอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้น ดูเหมือนว่าจะ “ไม่มีเคล็ดลับ” และเป็นสิ่งที่ไม่มีความซับซ้อนอะไร นั่นคือ 1. มองหุ้นว่าเป็นบริษัท 2. เลือกกิจการที่มีอนาคตที่ดีในระยะยาวอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป 3. มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์และดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น 4. หุ้นมีราคาที่สมเหตุผล 5. ซื้อแล้วก็ถือหุ้นไว้ตลอดไปตราบที่เหตุผลทั้ง 4 ข้อข้างต้นยังเป็นความจริง และนั่นก็คือ “เคล็ดลับ” ของบัฟเฟตต์ที่ง่ายและธรรมดาจนนักลงทุนแทบไม่สนใจที่จะทำตาม อาจจะเป็นเพราะต้องรอนานเป็น 10 ปีถึงจะรู้ว่า ใช้ได้ผลกับตนเองหรือไม่ 12.เคล็ดลับของโซรอสก็คือ เขาเชื่อว่าในตลาดหลักทรัพย์นั้นจิตวิทยาของ คนสะท้อนกลับไปมา หรือเป็น “การสะท้อนกลับ (Reflexive)” เช่น ถ้า หลักทรัพย์วิ่งขึ้นไปแรงก็จะไปดึงดูดคนซื้อ ซึ่งทำให้หลักทรัพย์นั้นวิ่งแรงขึ้นไปอีกเป็นวงจรจนถึงจุดที่สูงสุดจนอยู่ต่อไปไม่ได้ หลังจากนั้นหลักทรัพย์ก็จะลง และเมื่อหลักทรัพย์ลง คนที่ถือก็จะขายและกระบวนการทั้งหมดก็กลับตรงกันข้าม ในที่สุดหลักทรัพย์นั้นก็จะตกลงมาอย่างหายนะ ประเด็นก็คือ โซรอสก็จะคอยหาว่าหุ้น ค่าเงิน หรือตราสารอะไรก็ แล้วแต่ที่อาจจะมีความอ่อนแอ ราคาถูกหรือแพงเกินไป หรือแพงกว่าพื้นฐาน เสร็จแล้วเขาก็เข้าไป “โจมตี” โดยที่จะต้องใช้เงิน “ก้อนโต” เพื่อที่จะทำให้ ราคา “เปลี่ยน” อย่างแรง ซึ่งนั่นก็จะทำให้คนเล่นรายอื่นตกใจและเปลี่ยนใจขาย หรือซื้อตราสารนั้นตาม ทำให้ราคาตกหรือขึ้นแรงไปอีกจนถึงจุดสูงสุดแล้วทนอยู่ไม่ได้ และนั่นก็เป็นเวลาที่เขาจะกําไรมหาศาล การลงทุนหุ้นด้วยหลักการแบบ VI ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็ตาม ขอแค่เราเลือกตลาดหุ้นให้ถูก ให้เราได้เปรียบในการลงทุน เราจะได้ไม่เสียหายเมื่อกาลเวลาผ่านไป เครดิตภาพ ภาพปก โดย Lukas จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย George Morina จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Alesia Kozik จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ เด็กวัดดอน ชีวิต ความฝัน และการลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร รีวิวหนังสือ วิกฤติหุ้น วัน Corner แตก โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร รีวิวหนังสือ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม รีวิวหนังสือ ลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !