ระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ สังคมไทยของเราได้ยินคำว่า “สิทธิมนุษยชน” [Human Rights] กันบ่อยมาก เนื่องจากสังคมโลกเขาให้การยอมรับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หลักการและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และสิทธิมนุษยชนจะว่าไปแล้วก็เป็นหลักการอันประกอบขึ้นเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน นั่นก็เพราะสังคมประชาธิปไตยก็ยึดหลักพื้นฐาน เสรีภาพ เสมอภาค ยิ่งยุคสมัยใหม่ที่ย่างก้าวเข้าสู่โลกยุคไร้พรมแดน การตระหนักถึงสิทธิความเท่าเทียม โดยไม่แบ่งแยกภาษา ศาสนา เชื้อชาติ สีผิว หรือแม้กระทั่งความคิด จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere จะว่าไปแล้วสิทธิมนุษยชนติดตัวเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับความเป็นมนุษย์มนุษย์ก็ต้องอยู่บนฐานคิดเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้รับอะไรที่เท่า ๆ กันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการศึกษา การเข้าถึงการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย การทำงาน การเข้าถึงข้อมูลพื้นฐาน ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างนั้น จะต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติว่าจะให้ใคร หรือไม่ให้ใคร ไม่ว่าจะยากดีมีจน ฐานะ ต่างกันแค่ไหน แต่ไม่มีใครมีสิทธิ์ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของใครลงไปได้ ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere นั่นอาจเป็นโลกของหลักการ เพราะในโลกความเป็นจริง ยังมีเรื่องการละเมิดเรื่องราวเหล่านี้อยู่มากมาย เรายังจะเห็นการเหยียดเชื้อชาติ การเหยียดสีผิว การเหยียดเพศสภาพปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ อย่างในวงการฟุตบอลก็มีข่าวประเภทที่ว่า แฟนบอลเหยียดผิวนักฟุตบอลผิวสี โดยด่าทอ หรือทำท่าล้อเลียนว่าเหมือนลิง หรือการเอานิ้วดึงตาสองข้าง ให้หรี่ลง เพื่อล้อเลียนอัตลักษณ์ของคนเอเชีย ฯลฯ แม้กระทั่งในครอบครัว ปัญหาจากการทะเลาะภายใน ยังพบเห็นการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในที่ทำงาน หรือในระบบราชการทั่วไป ที่ยังมีมุมมองว่าเพศชายเป็นใหญ่กว่า หรือแม้กระทั่งการแตะเนื้อต้องตัวแทะโลมกันของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าก็มีให้เห็นเป็นข่าวอยู่มากมาย ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhere ในประเทศไทยรอบปีที่ผ่านมาก็พึ่งประกาศให้ สิทธิมนุษยชน เป็นวาระแห่งชาติ แต่นั่นไม่ทำให้ข่าวคราวการละเมิดสิทธิ์ ถูกลบกลบหายไปได้เลย ผลพวงของการกระทำการละเมิดสิทธิ์ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามอยู่บ่อย ๆ ถึงความมีสองมาตรฐาน เรื่องราวการจับกุมคุมขัง หรือการถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม การตายของคนที่ไร้ทางต่อสู้ คนจนที่ถูกไล่รื้อที่ ฯลฯ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติแล้วทั้งสิ้น การละเมิดสิทธ์ไม่ได้หมายรวมแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคลเท่านั้น การเผาไล่ที่ การผลักดันผู้ลี้ภัย การจับผู้ลี้ภัยส่งคืนประเทศที่เขาหนีตายออกมา การทวงคืนผืนป่าเสื่อมโทรมจากคนจน การสั่งปิดเหมือง หรือการไล่จับผู้ออกมาประท้วงเรียกร้องต้านเขื่อน ต้านโรงไฟฟ้า ทั้ง ๆ ที่สิทธิการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมาย นี่ยิ่งตอกย้ำให้เราทุกคนต้องตระหนัก และทบทวนเรื่องสิทธิมนุษยชนกันอย่างจริงจังเสียทีได้แล้ว นั่นก็เพราะจากสถิติการร้องเรียนการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ขอบคุณภาพประกอบโดย iSSANDY หลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง การจะเป็นที่ยอมรับต่อสังคมโลกก็ต้องยอมปรับกระบวนการ ทบทวน และเรียนรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนกันเสียใหม่ ในแง่ของความเข้าใจของคนทั่วไปก็ต้องให้ข้อมูลอย่างทั่วถึงด้วยเช่นกัน การละเมิดสิทธิ์บางครั้งก็ทำไปด้วยความไม่รู้ หรือเคยชินว่าทำมานานแล้ว ว่าทำได้ หรือทำไปเพราะรูสึกว่าตัวเองเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ข้ออ้าง เพื่อจะให้พ้นผิด แต่กลับยิ่งจะสะท้อนปัญหาสิทธิมนุษยชนให้เลวร้ายเข้าไปอีก ทุกฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนมีบทบาท เพื่อให้ปัญหานี้ลดน้อยลง จนค่อย ๆ หมดไปจากสังคมไทย และสังคมโลก เพื่อนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ดีร่วมกันของผู้คนอย่างยั่งยืน ขอบคุณภาพปกจาก pxhere ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก สภาพและแนวทางการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และ แอมเนสตี้ ไทย