วันนี้มีโอกาสได้อ่านรายงานการจัดอันดับดัชนีเมืองจักรยานจาก 90 ประเทศทั่วโลก ผู้เขียนพยายามควานตาหาชื่อเมืองหลวงของประเทศไทยคือกรุงเทพมหานคร จนพบว่าอยู่ในอันดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินคืออันดับที่ 88 มีสัดส่วนผู้ใช้จักรยานไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นด้วยซ้ำ จึงย้อนขึ้นไปดูเมืองที่อยู่อันดับต้น ๆ จึงได้รู้ว่าเนเธอร์แลนด์ (Netherlands) เป็นประเทศยืนหนึ่งในการเป็นเมืองจักรยานระดับโลก อย่างอันดับที่ 1 คือเมืองอูเทรกซ์ (Utrecht) ใจกลางของประเทศ ชนะเมืองหลวงอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัมที่อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งการอยู่ในลำดับต้น ๆ ของดัชนีเมืองจักรยานเช่นนี้มีความน่าสนใจ เพราะกว่าที่ประชากรชาวเนเธอร์แลนด์จะได้ใช้จักรยานเป็นพาหนะกันเกือบทุกบ้านแบบทุกวันนี้ ต้องผ่านเหตุการณ์การเรียกร้องกันมาอย่างยาวนาน บทความนี้จึงอยากชวนทุกคนไปย้อนรอยเส้นทางสำหรับนักปั่นในประเทศแห่งนี้ด้วยกันเมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาเส้นทางของหลายประเทศบนโลก แน่นอนว่าก่อนที่จะมีถนน มนุษย์เราต้องเดินทางโดยเรือ แต่เมื่อมีการตัดถนนหนทางแล้ว จักรยานเป็นยานพาหนะชนิดแรก ๆ ที่มนุษย์ใช้กันมาอย่างแพร่หลาย เพราะสมัยก่อนยังไม่มีเชื้อเพลิง จักรยานจึงไม่ต่างกับเรือที่ต้องอาศัยพละกำลังจากร่างกายในการขับเคลื่อนให้ยานพาหนะสามารถไปข้างหน้าได้ แต่เมื่อมีการคิดค้นรถยนต์และรถจักรยานยนต์ขึ้นในสมัยต่อมา ราวศตวรรษที่ 19-20 ความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงจึงเข้ามาแทนที่รถจักรยานในที่สุด เนเธอร์แลนด์ก็เช่นเดียวกัน การเข้ามาของรถยนต์ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่พลิกโฉมเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองนักปั่นโดยแท้จริงสำนวนที่ว่า ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ใช้ได้ดีกับเนเธอร์แลนด์ เมื่อการเข้ามาของรถยนต์ในศตวรรษที่ 20 ได้สร้างคนขับตีนผีที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ก่อเหตุร้ายทำลายชีวิตนักปั่นชาวดัตช์ไปหลายพันราย ลองจินตนาการว่าขณะที่เรากำลังปั่นจักรยานอยู่ในช่องทางที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ แล้วจู่ ๆ มีรถยนต์คันใหญ่เหยียบคันเร่งแบบมิดไมล์มาสอยเราไปสู่สวรรค์ และอุบัติเหตุเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนถือเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่ทำให้ชาวดัตช์ลุกขึ้นมาประท้วงต่อรัฐบาล หลายครั้งที่เด็กไม่กี่ขวบซ้อนท้ายจักรยานที่ผู้ปกครองเป็นคนขี่ ต้องจบชีวิตลงด้วยคนขับรถยนต์ที่ไม่เคารพกฎจราจร การประท้วงเพื่อทวงคืนวิถีการเดินทางโดยใช้รถจักรยานของชาวดัตช์เกิดขึ้นยาวนานหลายปี จนกระทั่งวิกฤตราคาน้ำมันในปลายศตวรรษที่ 20 ทำให้ฝันของชาวดัตช์ที่ต้องการเปลี่ยนเนเธอร์แลนด์ให้กลายเป็นเมืองนักปั่นอีกครั้งก็ดูจะเริ่มเป็นจริงขึ้นมาถือว่าเป็นโชคดีของชาวดัตช์ด้วย ที่ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากการใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ ทั้งอุบัติเหตุบนท้องถนน ราคาน้ำมันนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปัญหามลพิษที่จะตามมา พวกเขาจึงให้ความร่วมมือต่อนโยบายที่รัฐบาลกำหนดออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการคมนาคมในประเทศ ที่สำคัญคือนโยบาย Car-Free Sunday คือห้ามใช้รถยนต์ในวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นนโยบายตั้งต้นที่ค่อย ๆ ควบคุมไปทีละพื้นที่ จนในที่สุดบริเวณใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัมได้กลายเป็นเขตปลอดรถยนต์เป็นที่แรกไปโดยปริยาย ต่อมารัฐบาลจึงได้ลงทุนไปกับโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้จักรยานมากขึ้น ทั้งการตัดถนนสำหรับปั่นจักรยาน การจัดสร้างลานจอดจักรยาน การดูแลระบบความปลอดภัย การควบคุมราคาซื้อขายจักรยานในท้องตลาด ผลลัพธ์ที่สำคัญจากนโยบายเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันประชากรชาวเนเธอร์แลนด์ในหลายเมืองต่างหันมาใช้จักรยานกันมากกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียวทุกวันนี้บ้านเราต้องประสบปัญหารถติดอย่างหนัก ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ต้องเจอปัญหารถจักรยานติด เพราะชาวดัตช์ใช้จักรยานกันในชีวิตประจำวัน ด้วยภาษีรถยนต์และบรรดาค่าธรรมเนียมที่พ่วงมานั้นสูงจนไม่มีใครกล้าซื้อรถยนต์มาใช้ แต่นั่นเป็นเรื่องที่รัฐบาลตั้งใจ เพื่อจะทำให้ทั้งประเทศเป็นเมืองแห่งนักปั่นโดยสมบูรณ์ ช่องทางสำหรับจักรยานถูกออกแบบมาอย่างดี การันตีความปลอดภัยโดยนักปั่นไม่ต้องหาหมวกกันน็อคมาใส่ ธุรกิจซื้อขายจักรยานเติบโตอย่างรวดเร็ว และทุกวันนี้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังตระหนักถึงปัญหามลพิษ จับมือกับภาคเอกชนให้ออกมาตรการต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้การใช้รถยนต์มีปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วกลับมามองที่บ้านเรา ถนนหนทางที่เอื้อต่อการปั่นจักรยาน ทำให้เราไม่กล้าสุ่มเสี่ยงจะปั่นจักรยานไปไหนมาไหน แม้กระทั่งถนนแคบ ๆ ในหมู่บ้านยังเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยครั้ง แต่สำหรับผู้เขียนเองในฐานะที่อยากเห็นบ้านเมืองของเราปลอดอุบัติเหตุและมลพิษ ยังหวังว่าในอนาคตหลายจังหวัดในบ้านเรา จะมีการพัฒนาเส้นทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักปั่น ถึงจะไม่ทันรุ่นเรา แต่หากรุ่นลูกรุ่นหลานเราได้มีเลนจักรยานใช้ก็ยังดีรูปภาพหน้าปก โดย Antonio Sessa : Unsplashภาพประกอบที่ 1 โดย Luca Lago : Unsplashภาพประกอบที่ 2 โดย Sabina Fratila : Unsplashภาพประกอบที่ 3 โดย Stephanie LeBlanc : Unsplashภาพประกอบที่ 4 โดย Marc Kleen : Unsplash