มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนาแต่ราคาเบาๆ ช่วงลดราคาพอดี ในฉบับภาษาอังกฤษเพื่อนที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาซื้อมาฝาก แต่ก็อ่านยังไม่จบ เพราะด้วยเรื่องภาษาด้วยส่วนหนึ่ง พอเห็นมีแปลเป็นภาษาไทยก็เลยซื้อมาอ่านอีก โดยคุณจูม่อเป็นคนเขียนเรียบเรียงให้เฉินหลง และคุณอนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี เป็นผู้แปลเป็นภาษาไทย หนังสือเล่มนี้อย่างที่หลายๆ คนที่ติดตามก็ทราบกันมาบ้างว่าเป็นการเขียนเล่าเรื่องราวของตนเอง โดยเฉพาะด้านมืดที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง พฤติกรรมที่ไม่ดีต่างๆ ในช่วงวัยรุ่น เรื่องผู้หญิงบ้าง เกเร ทะเลาะบ้าง เที่ยวกลางคืนบ้าง ปัญหาในครอบครัว ฯลฯ แต่ก็ยังมีอีกหลากหลายมุมที่อ่านแล้วก็อยากมาให้คนที่ไม่ได้อ่านได้สัมผัสบ้าง ทั้งเรื่องส่วนตัวและการทำงานในวงการภาพยนตร์ โดยขอนำในส่วนที่ประทับใจ 9 เรื่องด้วยกัน1. ความล้มเหลว เป็นสิ่งที่เป็นเรื่องปกติของคนที่จะประสบความสำเร็จ เฉินหลงล้มเหลวเกี่ยวกับการแสดงและเรื่องส่วนตัวที่สำคัญถึง 7 ครั้ง โดยเฉพาะการสร้างชื่อเสียงให้ตนเองระดับโลก ในการเข้าสู่แวดวงฮอลลีวูด การไปแสดงกับชาวต่างชาติที่ล้มเหลวไม่มีชิ้นดีกลับมา 2 รอบใหญ่ กว่าจะกลับไปดังได้ก็วัย 40 กว่าแล้วในชุดคู่หูตำรวจคนละชาติในเฟรนไชส์ Rush Hour ดังนั้น "ความล้มเหลว" จึงเป็นเรื่องปกติและเป็นบททดสอบคนสู้เท่านั้นถึงจะผ่านมันไปได้ 2. ความเป็นชาตินิยม ด้วยความเป็นคนจีน เป็นคนเอเชีย การแสดงออกถึงความเป็นคนจีนจึงชัดเจน ในวันที่ขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ ในปี 2016 เฉินหลงเลยเลือกใส่เสื้อถังจวงหรือเสื้อคอจีน เพื่อบ่งบอกความเป็นคนจีน ไม่ใช่คนชาติอื่น เพราะเคยถูกทักสมัยที่ยังไม่ดังว่ามาจากไหน เป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า การสร้างอัตลักษณ์ตนเองขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วโลกรู้จักประเทศหรือชาติของตนเองจึงสำคัญมาก3. ลายเซ็นสไตล์หนังเฉินหลง คือ แอกชันคอเมดี้ (หนังบู๊ตลก)และใช้คำว่า "แอกชันไม่เหี้ยมโหด มีมุกตลกไม่ต่ำช้า" และที่สำคัญการต่อสู้ในหนังของเฉินหลงเหมือนการเต้นรำ แต่ก่อนที่จะเป็นแบบสไตล์นี้ก็เคยเป็นแบบอื่นมาก่อน เคยมีเพื่อนมาบอกเขาว่า "หนังคุณดีมาก แต่เสียดายพาลูกไปดูด้วยไม่ได้" ตั้งแต่นั้นหนังของเขาเลยปรับให้ทุกคนดูได้ เป็นหนังครอบครัว สนุก ตื่นเต้น ไม่รุนแรง และมีเสียงหัวเราะเสมอ 4. การทำหนัง ณ ปัจจุบันของเฉินหลงไม่ใช่เรื่องเงิน เพื่อชื่อเสียงอีกแล้ว แต่ทำเพราะความชอบ หนังบางเรื่องใช้เวลาถึง 20 ปีถึงจะได้มาทำ ยิ่งในวัย 60 กว่าของเขา ก็ยังมีผลงานอยู่เรื่อยๆ โดยทำให้มีความหลากหลายแนวให้มากขึ้น ปรับตามวัย แต่ก็ยังเห็นลีลาฟัดในหนัง "ควบ สู้ ฟัด" อยู่ แม้ตอนนี้จะเข้าสู่วัย 70 ปีแล้ว ก็ยังมีการแถลงข่าวที่จะสร้างหนังมาอยู่เรื่อยๆ สวนทางกับวัยจริงๆ ตราบใดที่ยังมีคนดูหนังของเขา เขาก็ยังทำไปเรื่อยๆ จนร่างกายไม่ไหวจริงๆ เขาเคยบอกไว้อย่างนั้น 5. ความพยายามทางภาษา เป็นนักแสดงชาวเอเชียอีกคนที่มีปัญหาด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่เฉินหลงบอกว่า ถ้าเป็นฉากแอกชันไม่กังวลอะไรเลย แต่พอเป็นบทสนทนาก็ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเห็นการโลดแล่นบนเวทีต่างๆ และบนจอโทรทัศน์ของต่างประเทศอย่างมากมาย แม้จะใช้ภาษาอังกฤษยังไม่ดีพอ แต่ก็ไม่น้อยหน้านักแสดงระดับโลกคนอื่นๆ เช่นกัน นอกจากภาษาจีนและภาษาอังกฤษก็ยังสามารถพูดได้อีกหลายภาษา เช่น ภาษาเกาหลี เยอรมัน ญี่ปุ่นรวมทั้งภาษาไทยอีกด้วยเล็กน้อย 6. มีความแปลกและแตกต่าง หลังจากที่บรูซลีได้เสียชีวิตไป มีคนจะปั้นให้มีบรูซลี 2 หรือตัวแทนขึ้นมาอีกหลายคน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนึ่งในนั้นก็มีเฉินหลงด้วย แต่เขาบอกว่าผมจะเป็นเฉินหลงเอง สร้างรูปแบบที่แตกต่างจากบรูซลี คือ "บรูซลีเตะสูง เฉินหลงจะเตะต่ำ เวลาต่อสู้บรูซลีจะเคร่งขรึม น่าเกรงขาม และส่งเสียงร้องดังบ่งบอกถึงพลัง เฉินหลงจะทำท่าทะเล้นและเจ็บได้ ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเหมือนคนทั่วไป เจ็บเป็น ร้องไห้เป็น" รวมทั้งการนำสิ่งรอบตัวมาเป็นอาวุธได้และมีอารมณ์ขัน จึงกลายเป็นเสน่ห์ของเขาจนถึงปัจจุบัน 7. แม้ว่าเฉินหลงเองจะมีด้านลบส่วนตัวหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องในครอบครัว การทำหน้าที่ความเป็นพ่อที่ไม่ดีนัก แต่ภายนอกเฉินหลงก็ได้ตอบแทนสังคมที่หลากหลายทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศอย่างมากมาย สร้างมูลนิธิช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะด้านการศึกษา เพราะตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การดูแลสิ่งแวดล้อม ความสะอาดในกองถ่าย ตามท้องถนน และบางครั้งก็ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทนกลับมา เพราะเขานึกถึงสมัยที่เขายังไม่มีอะไร อย่างเช่นการมาช่วยประเทศไทยเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ มาบริจาคถึง 2 ล้านกว่าบาทเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ทำคุณประโยชน์อีกคนหนึ่ง 8. วิธีการการทำงานในกองถ่ายที่แตกต่างระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งเฉินหลงบอกว่า การทำงานที่เอเชียสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ทุกคนมีหน้าที่ในกองถ่ายก็จริง แต่ถ้าหน้างานมีอะไรที่ช่วยกันได้ก็สามารถช่วยกันได้หมด ปรับเปลี่ยนหน้างานได้ มีความหยืดหยุ่นสูง ซึ่งต่างจากการทำงานในกองถ่ายของตะวันตกที่ไม่สามารถก้าวก่ายงานกันได้ ดังนั้นเวลาเฉินหลงเล่นหนังในฮอลลีวูดจึงเน้นการเป็นนักแสดงเป็นหลัก ไม่อยากนำเสนออะไรมากมายเพราะบางอย่างก็ขัดกับระเบียบการปฏิบัติของเขาอย่างมาก หลังๆ จึงไม่ค่อยเห็นเฉินหลงเล่นหนังฮอลลีวูดสักเท่าไหร่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นก็จะเล่นสลับระหว่างฮอลลีวูดกับเอเชียเสมอ เพื่อเอาใจคอหนังทั้ง 2 ฝั่ง 2 สไตล์นั่นเอง 9. อีกเรื่องหนึ่งในหนังสือ Never Grow Up นี้ก็มีชื่อบุคคลต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเฉินหลง ตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญสำหรับเขา ทั้งในชีวิตครอบครัวและภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ JC stunt team (เจซี สตั๊นต์ทีม) ที่ปัจจุบันมีถึง 8 รุ่นแล้ว ซึ่งก่อตั้งมาก็ 40 กว่าปีแล้ว ถือเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่และยาวนานจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าวัย 70 ปีในปีหน้าจะมาถึง เฉินหลงก็ยังจะมีภาพยนตร์ให้ชมกันเรื่อยๆ ภาพยนตร์ที่จะได้ชมกันถัดจากปี 2023 ไปอย่างน้อยก็มี 3 เรื่องที่ชัดเจน คือ หนังภาคต่อ 2 เรื่อง คือ The Legend (The Myth 2 หรือดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา 2) New Police Story 2 (ในชื่อไทยใช้ชื่อว่า "วิ่งสู้ฟัด 5 เหิรสู้ฟัด พอออกมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าชื่อไทยจะใช้แบบไหนกันแน่ เพราะภาษาไทยใช้ชื่อต่อจากภาคก่อนหน้าที่ไม่ได้เป็นภาคต่อจริงๆ ต้องรอดูกัน) และล่าสุดก็คงเป็นเรื่อง Project P ที่เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องติดตามกันต่อไป หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือแนวชีวิตประวัติหลากหลายมุมของเฉินหลง อ่านได้เพลินๆ แบ่งเป็นตอนๆ สั้นๆ ในแต่ละบท โดยเฉินหลงมีส่วนร่วมในการเขียนและถ่ายทอดเรื่องราวได้ออกมาอย่างดีมากๆ ใครเป็นแฟนคลับเฉินหลงนักแสดงแอกชันสตาร์ค้างฟ้าคนนี้ก็ลองหาอ่านกันดู แล้วจะรู้ว่ากว่าจะมีชีวิตแบบทุกวันนี้ได้ต้องพบเจออะไรมาบ้างทุกภาพประกอบ จากหน้าปกหนังสือ ปกหลัง สันหนังสือ บนเสื้อยืด และที่คั่นหนังสือขอบคุณ Canva ใช้ตกแต่งภาพปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !