#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (18 มี.ค. 67) สถานการณ์ฝุ่นเชียงใหม่ล่าสุด ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ล่าสุด เว็บไซต์ IQAir รายงานคุณภาพอากาศของทั่วโลก เมื่อเวลา 10.00 น. พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย มีมลพิษสูงติดอันดับ 3 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยมีค่า AQI ที่ 190 คำเตือนอยู่ในระดับสีแดง (AQI = 151-200) หรือมีผลกระทบต่อทุกคนสถานการณ์ล่าสุดในบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันไฟป่าไปทั้งเมือง ไม่สามารถมองเห็นดอยสุเทพติดต่อกันมาหลายวันแล้ว โดยพื้นที่ตำบลช้างเผือก และตำบลศรีภูมิ ค่าฝุ่น PM2.5 เช้าวันนี้ อยู่ระหว่าง 87.9 – 92.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงมาต่ำจากเมื่อวานนี้ เล็กน้อย ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายงานคุณภาพอากาศ แบบรายชั่วโมง บริเวณบ้านหัวโท อำเภอเชียงดาวเวลา 07.00 น. ค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 591 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือสูงเกินถึง 15 เท่า ซึ่งค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ประชาชนในพื้นที่อยู่อย่างยากลำบาก หายใจติดขัด ต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน และยังต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นควัน ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ พบจุดความร้อนกระจายใน 18 อำเภอ จำนวน 112 จุด พื้นที่อำเภอเชียงดาว มากที่สุด 20 จุด เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งดับไฟ ซึ่งบางพื้นที่เป็นภูเขาสูง ต้องใช้รถจักรยานยนต์ ในการขับขี่เข้าพื้นที่ ซึ่งการเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก และมีความทุลักทุเลล่าช้า สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น พบจุดความร้อน 192 จุด มากสุดที่อำเภอเมือง 78 จุด รองลงมาที่อำเภอปาย 35 จุด นายทวีชัย กันทใจ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เกิดไฟป่าในท้องที่ป่าบ้านห้วยเดื่อ ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ปายฝั่งซ้ายจึงระดมกำลังเข้าดับไฟ พื้นที่ป่าถูกไฟไหม้ประมาณ 5 ไร่ด้านนายอำเภอแม่ฮ่องสอน สั่งการให้ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าดับไฟป่าบริเวณด้านหลัง วัดป่าบ้านใหม่ ตำบลปางหมู, บ้านห้วยกุ้ง ตำบลห้วยปูลิง, บ้านทบศอก บ้านห้วยมะเขือส้ม ตำบลหมอกจำแป่, บ้านหัวน้ำแม่สะกึด บ้านผาบ่องเหนือ ตำบลผาบ่อง, ซึ่งมีการลักลอบเผาป่ามากที่สุด และพบว่าการเผาป่าได้มีการเริ่มเผาจากตัวหมู่บ้านออกไป เปลี่ยนมาเป็นลอบเผาจากด้านหลังเทือกเขา แล้วไฟป่าลามลงมาสู่หมู่บ้าน ทำให้ต้องเร่งดับไฟ
อ่านต่อ >16
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ ( 18 มี.ค. 67 )หมอกควันจากไฟป่ายังปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ค่าฝุ่น PM 2.5 ยังสูงเกินมาตรฐานต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่สภาวะอากาศปิดไร้กระแสลมและยังไม่เกิดพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ ส่งผลให้ฝุ่นละอองยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเที่ยงวันนี้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กค่าฝุ่น PM 2.5 จากการรายงานของศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบฝุ่น PM 2.5 สูงสุดที่บ้านหัวโท ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว 459 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สถานการณ์ฝุ่นควันที่จากไฟป่าที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ตลอดทั้งวันนี้ ( 18 มี.ค. ) หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ส่งเครื่องบินแบบ CN และ เครื่องบินแบบ CASA ขึ้นบินในภารกิจบรรเทาหมอกควันและลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ , อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และ บริเวณรอยต่อ อ.สามเงา จ.ตาก - อ.ลี้ จ.ลำพูน โดยจะมีการดัดแปรสภาพอากาศโดยใช้เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ ำและโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองที่สะสมออกไปได้ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 5 หน่วยปฏิบัติการ ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ แพร่ จันทบุรี กาญจนบุรี และ สงขลา เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปรสภาพอากาศช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง การเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ำ สร้างความชุ่มชื้นให้พื้นที่ป่าไม้เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า รวมถึงบรรเทาสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ภาคเหนือตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ ภายในสนามบินกองบิน 41 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ ปรับแผนการปฏิบัติภารกิจใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ ชนิด CN จำนวน 2 ลำ เครื่องบินขนาดกลาง ชนิด CASA จำนวน 3 ลำ เครื่องบินชนิด Super King Air จำนวน 1 ลำ ในภารกิจดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก บรรเทาปัญหาไฟป่า และบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยมีแผนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อให้มีฝนตกในพื้นที่ที่ต้องการ ช่วยบรรเทาปัญหาหมอกควันฝุ่นละอองและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเจาะช่องชั้นอากาศ เร่งกระบวนการทางธรรมชาติให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสอากาศ ระบายฝุ่นควันออกไปให้ได้มากที่สุด ข้อมูลจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคเชียงใหม่ ภาพจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิ
อ่านต่อ >321
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ย้อนรอยข้อพิพาท ‘คลองโอ่งอ่าง’ แลนด์มาร์คเมืองหลวงที่คาดหวัง คาดฝันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาประเด็น ‘คลองโอ่งอ่าง’ ถูกหยิบยกมาพูดกันต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เพจเฟซบุ๊กหนึ่งแชร์ภาพคลองโอ่งอ่างปัจจุบันในปี 2567 ที่พื้นที่ที่ปรับปรุงถูกใช้ประโยชน์ผิดวัตถุประสงค์ไป เช่น กลายเป็นที่จอดรถยนต์ของคนในชุมชนใกล้เคียง และ กลายเป็นแหล่งที่พักของคนไร้บ้านที่ถูกไล่ที่มาจากการจัดระเบียบกรุงเทพมหานครชั้นในสารพัดเรื่องดราม่าของคลองโอ่งอ่าง คลองระบายน้ำที่ถูกวาดฝันให้เป็นแลนด์มาร์ค หรือ แหล่งท่องเที่ยวกรุงเทพฯกลายเป็นเรื่องที่สังคมต้องกลับมาถกเถียงกันอีกครั้งว่างบประมาณที่ทุ่มลงไปไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทในอดีตและงบใหม่ที่กำลังจะทุ่มไปสมทบคุ้มค่าและเกิดประโยชน์จริงหรือไม่หรือท้ายสุดคลองแห่งนี้จะกลายเป็นเพียงข้อพิพาทเปรียบเทียบผลงานของผู้ว่าฯกทม. 2 ยุคทีมข่าว TNN Online ชวนรู้จัก และไล่ลำดับไทม์ไลน์การเกิดคลองโอ่งอ่างดังนี้คลองโอ่งอ่าง เป็นช่วงหนึ่งของคลองรอบกรุง มีขอบเขตจากปากคลองมหานาคไปถึงปากคลองซึ่งหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ข้าง ๆ กับสะพานพระพุทธยอดฟ้า มีระยะทางรวมประมาณ 750 เมตร คลองโอ่งอ่างทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตปกครองระหว่างเขตพระนครกับเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2326 ถูกขุดเพื่อเชื่อมต่อคลองบางลำพูช่วงปากคลองมหานาค ต่อมากลายเป็นแหล่งสัญจรสำคัญ รวมถึงแหล่งขายโอ่ง-เครื่องปั้นดินเผาของชาวมอญและชาวจีน จึงเป็นที่มาชื่อ คลองโอ่งอ่างพ.ศ. 2519 กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนให้คลองแห่งนี้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2526 กทม. เปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามาทำการค้าในพื้นที่ได้ในเวลา 10 ปี ตั้งแต่นั้นเริ่มมีการรุกล้ำคลองเรื่อยมา มีการสร้างเหล็กปิดทับคลอง กลายเป็นที่มาของชื่อตลาดสะพานเหล็ก แต่เมื่อเวลาสัมปทานครบ 10 ปีผู้ค้าไม่มีการย้ายออกจากพื้นที่พ.ศ. 2543 กทม. ส่งจดหมายถึงผู้ค้าสะพานเหล็กให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็นครั้งแรก แต่เกิดปัญหาโต้แย้งการย้ายผู้ค้าออกไม่เป็นผลพ.ศ. 2558 กทม. ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ร้านค้าเกือบทั้งหมดย้ายไปเช่าพื้นที่ห้างฝั่งตรงข้ามพ.ศ. 2561-2562 สำนักการระบายน้ำปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาสภาพแวดล้อม ความยาว 750 เมตร 2 ฝั่ง พ.ศ. 2563 กทม. และเอกชน ริเริ่มสร้างแลนด์มาร์ก วาดภาพสตรีตอาร์ตบนกำแพงช่
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ตัดสินใจระงับการรับคำร้องขอตรวจลงตราของคนเก็บเบอร์รี่ป่าในไทย โดยใช้บังคับกับผู้สมัครที่เป็นแรงงานเก็บเบอร์รี่ป่าทุกคนที่ยื่นคำร้องขอตรวจลงตราที่สถานทูตฟินแลนด์ในกรุงเทพฯ ซึ่งครอบคลุมถึงผู้สมัครทั้งจาก ไทย กัมพูชา และเมียนมา (การตรวจลงตราประเภทเชงเก้น) ในฤดูเก็บเกี่ยวช่วงหน้าร้อนปี 2567 นั้น เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวและครอบคลุมในการเข้าประเทศของคนเก็บเบอร์รี่ป่าในฟินแลนด์ตั้งแต่ฤดูเก็บเกี่ยวปี 2568 เป็นต้นไป นายคารม กล่าวต่อไปว่า รัฐบาล โดยกรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยกรมการกงสุล และกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ มิได้นิ่งนอนใจต่อกรณีดังกล่าว ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้ระยะสั้น - ชะลอการจัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าในสาธารณรัฐฟินแลนด์และสวีเดน จนกว่าจะปรับระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า รวมถึงนายจ้างต้องยอมรับเงื่อนไขที่กำหนด โดยหากเป็นการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในรูปแบบนายจ้างพาลูกจ้างไปทำงาน นายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดลูกจ้างจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมย์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การคุ้มครองและการรักษาสิทธิของแรงงานไทยตลอดจนความโปร่งใสและความเป็นธรรมให้แก่แรงงานไทยระยะยาว - ปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงานไทยที่ไปเก็บผลป่าที่ราชอาณาจักรสวีเดนและสาธารณรัฐฟินแลนด์ และกำหนดโทษนายจ้าง/ผู้ประสานงานให้ชัดเจน ทั้งต้องหารือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐฟินแลนด์ เพื่อหาแนวทางในการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยต่างประเทศในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศ (MOU) หรือถึงแม้ว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานก็ตาม เพื่อให้ทั้งสองประเทศร่วมกันในการแก้ไขปัญหาต่อไปทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมเดินหน้าต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง เพื่อปกป้อง คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงเพื่อขจัดการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงง
อ่านต่อ >22
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (18 มี.ค. 67) สถานการณ์ฝุ่นเชียงใหม่ล่าสุด ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ล่าสุด เว็บไซต์ IQAir รายงานคุณภาพอากาศของทั่วโลก เมื่อเวลา 10.00 น. พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย มีมลพิษสูงติดอันดับ 3 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยมีค่า AQI ที่ 190 คำเตือนอยู่ในระดับสีแดง (AQI = 151-200) หรือมีผลกระทบต่อทุกคนสถานการณ์ล่าสุดในบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันไฟป่าไปทั้งเมือง ไม่สามารถมองเห็นดอยสุเทพติดต่อกันมาหลายวันแล้ว โดยพื้นที่ตำบลช้างเผือก และตำบลศรีภูมิ ค่าฝุ่น PM2.5 เช้าวันนี้ อยู่ระหว่าง 87.9 – 92.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงมาต่ำจากเมื่อวานนี้ เล็กน้อย ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายงานคุณภาพอากาศ แบบรายชั่วโมง บริเวณบ้านหัวโท อำเภอเชียงดาวเวลา 07.00 น. ค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 591 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือสูงเกินถึง 15 เท่า ซึ่งค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ประชาชนในพื้นที่อยู่อย่างยากลำบาก หายใจติดขัด ต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน และยังต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นควัน ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ พบจุดความร้อนกระจายใน 18 อำเภอ จำนวน 112 จุด พื้นที่อำเภอเชียงดาว มากที่สุด 20 จุด เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งดับไฟ ซึ่งบางพื้นที่เป็นภูเขาสูง ต้องใช้รถจักรยานยนต์ ในการขับขี่เข้าพื้นที่ ซึ่งการเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก และมีความทุลักทุเลล่าช้า สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น พบจุดความร้อน 192 จุด มากสุดที่อำเภอเมือง 78 จุด รองลงมาที่อำเภอปาย 35 จุด นายทวีชัย กันทใจ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เกิดไฟป่าในท้องที่ป่าบ้านห้วยเดื่อ ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ปายฝั่งซ้ายจึงระดมกำลังเข้าดับไฟ พื้นที่ป่าถูกไฟไหม้ประมาณ 5 ไร่ด้านนายอำเภอแม่ฮ่องสอน สั่งการให้ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าดับไฟป่าบริเวณด้านหลัง วัดป่าบ้านใหม่ ตำบลปางหมู, บ้านห้วยกุ้ง ตำบลห้วยปูลิง, บ้านทบศอก บ้านห้วยมะเขือส้ม ตำบลหมอกจำแป่, บ้านหัวน้ำแม่สะกึด บ้านผาบ่องเหนือ ตำบลผาบ่อง, ซึ่งมีการลักลอบเผาป่ามากที่สุด และพบว่าการเผาป่าได้มีการเริ่มเผาจากตัวหมู่บ้านออกไป เปลี่ยนมาเป็นลอบเผาจากด้านหลังเทือกเขา แล้วไฟป่าลามลงมาสู่หมู่บ้าน ทำให้ต้องเร่งดับไฟ
อ่านต่อ >16
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ ( 18 มี.ค. 67 )หมอกควันจากไฟป่ายังปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ค่าฝุ่น PM 2.5 ยังสูงเกินมาตรฐานต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่สภาวะอากาศปิดไร้กระแสลมและยังไม่เกิดพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ ส่งผลให้ฝุ่นละอองยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเที่ยงวันนี้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กค่าฝุ่น PM 2.5 จากการรายงานของศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบฝุ่น PM 2.5 สูงสุดที่บ้านหัวโท ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว 459 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สถานการณ์ฝุ่นควันที่จากไฟป่าที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ตลอดทั้งวันนี้ ( 18 มี.ค. ) หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดเชียงใหม่ส่งเครื่องบินแบบ CN และ เครื่องบินแบบ CASA ขึ้นบินในภารกิจบรรเทาหมอกควันและลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ , อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และ บริเวณรอยต่อ อ.สามเงา จ.ตาก - อ.ลี้ จ.ลำพูน โดยจะมีการดัดแปรสภาพอากาศโดยใช้เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ ำและโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองที่สะสมออกไปได้ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 5 หน่วยปฏิบัติการ ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ แพร่ จันทบุรี กาญจนบุรี และ สงขลา เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปรสภาพอากาศช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง การเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ำ สร้างความชุ่มชื้นให้พื้นที่ป่าไม้เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า รวมถึงบรรเทาสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ภาคเหนือตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ ภายในสนามบินกองบิน 41 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ ปรับแผนการปฏิบัติภารกิจใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ ชนิด CN จำนวน 2 ลำ เครื่องบินขนาดกลาง ชนิด CASA จำนวน 3 ลำ เครื่องบินชนิด Super King Air จำนวน 1 ลำ ในภารกิจดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก บรรเทาปัญหาไฟป่า และบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยมีแผนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อให้มีฝนตกในพื้นที่ที่ต้องการ ช่วยบรรเทาปัญหาหมอกควันฝุ่นละอองและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเจาะช่องชั้นอากาศ เร่งกระบวนการทางธรรมชาติให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสอากาศ ระบายฝุ่นควันออกไปให้ได้มากที่สุด ข้อมูลจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคเชียงใหม่ ภาพจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิ
อ่านต่อ >321
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ย้อนรอยข้อพิพาท ‘คลองโอ่งอ่าง’ แลนด์มาร์คเมืองหลวงที่คาดหวัง คาดฝันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาประเด็น ‘คลองโอ่งอ่าง’ ถูกหยิบยกมาพูดกันต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เพจเฟซบุ๊กหนึ่งแชร์ภาพคลองโอ่งอ่างปัจจุบันในปี 2567 ที่พื้นที่ที่ปรับปรุงถูกใช้ประโยชน์ผิดวัตถุประสงค์ไป เช่น กลายเป็นที่จอดรถยนต์ของคนในชุมชนใกล้เคียง และ กลายเป็นแหล่งที่พักของคนไร้บ้านที่ถูกไล่ที่มาจากการจัดระเบียบกรุงเทพมหานครชั้นในสารพัดเรื่องดราม่าของคลองโอ่งอ่าง คลองระบายน้ำที่ถูกวาดฝันให้เป็นแลนด์มาร์ค หรือ แหล่งท่องเที่ยวกรุงเทพฯกลายเป็นเรื่องที่สังคมต้องกลับมาถกเถียงกันอีกครั้งว่างบประมาณที่ทุ่มลงไปไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทในอดีตและงบใหม่ที่กำลังจะทุ่มไปสมทบคุ้มค่าและเกิดประโยชน์จริงหรือไม่หรือท้ายสุดคลองแห่งนี้จะกลายเป็นเพียงข้อพิพาทเปรียบเทียบผลงานของผู้ว่าฯกทม. 2 ยุคทีมข่าว TNN Online ชวนรู้จัก และไล่ลำดับไทม์ไลน์การเกิดคลองโอ่งอ่างดังนี้คลองโอ่งอ่าง เป็นช่วงหนึ่งของคลองรอบกรุง มีขอบเขตจากปากคลองมหานาคไปถึงปากคลองซึ่งหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ข้าง ๆ กับสะพานพระพุทธยอดฟ้า มีระยะทางรวมประมาณ 750 เมตร คลองโอ่งอ่างทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตปกครองระหว่างเขตพระนครกับเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2326 ถูกขุดเพื่อเชื่อมต่อคลองบางลำพูช่วงปากคลองมหานาค ต่อมากลายเป็นแหล่งสัญจรสำคัญ รวมถึงแหล่งขายโอ่ง-เครื่องปั้นดินเผาของชาวมอญและชาวจีน จึงเป็นที่มาชื่อ คลองโอ่งอ่างพ.ศ. 2519 กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนให้คลองแห่งนี้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2526 กทม. เปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามาทำการค้าในพื้นที่ได้ในเวลา 10 ปี ตั้งแต่นั้นเริ่มมีการรุกล้ำคลองเรื่อยมา มีการสร้างเหล็กปิดทับคลอง กลายเป็นที่มาของชื่อตลาดสะพานเหล็ก แต่เมื่อเวลาสัมปทานครบ 10 ปีผู้ค้าไม่มีการย้ายออกจากพื้นที่พ.ศ. 2543 กทม. ส่งจดหมายถึงผู้ค้าสะพานเหล็กให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็นครั้งแรก แต่เกิดปัญหาโต้แย้งการย้ายผู้ค้าออกไม่เป็นผลพ.ศ. 2558 กทม. ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ร้านค้าเกือบทั้งหมดย้ายไปเช่าพื้นที่ห้างฝั่งตรงข้ามพ.ศ. 2561-2562 สำนักการระบายน้ำปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาสภาพแวดล้อม ความยาว 750 เมตร 2 ฝั่ง พ.ศ. 2563 กทม. และเอกชน ริเริ่มสร้างแลนด์มาร์ก วาดภาพสตรีตอาร์ตบนกำแพงช่
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ตัดสินใจระงับการรับคำร้องขอตรวจลงตราของคนเก็บเบอร์รี่ป่าในไทย โดยใช้บังคับกับผู้สมัครที่เป็นแรงงานเก็บเบอร์รี่ป่าทุกคนที่ยื่นคำร้องขอตรวจลงตราที่สถานทูตฟินแลนด์ในกรุงเทพฯ ซึ่งครอบคลุมถึงผู้สมัครทั้งจาก ไทย กัมพูชา และเมียนมา (การตรวจลงตราประเภทเชงเก้น) ในฤดูเก็บเกี่ยวช่วงหน้าร้อนปี 2567 นั้น เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวและครอบคลุมในการเข้าประเทศของคนเก็บเบอร์รี่ป่าในฟินแลนด์ตั้งแต่ฤดูเก็บเกี่ยวปี 2568 เป็นต้นไป นายคารม กล่าวต่อไปว่า รัฐบาล โดยกรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยกรมการกงสุล และกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ มิได้นิ่งนอนใจต่อกรณีดังกล่าว ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้ระยะสั้น - ชะลอการจัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าในสาธารณรัฐฟินแลนด์และสวีเดน จนกว่าจะปรับระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า รวมถึงนายจ้างต้องยอมรับเงื่อนไขที่กำหนด โดยหากเป็นการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในรูปแบบนายจ้างพาลูกจ้างไปทำงาน นายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดลูกจ้างจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมย์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การคุ้มครองและการรักษาสิทธิของแรงงานไทยตลอดจนความโปร่งใสและความเป็นธรรมให้แก่แรงงานไทยระยะยาว - ปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงานไทยที่ไปเก็บผลป่าที่ราชอาณาจักรสวีเดนและสาธารณรัฐฟินแลนด์ และกำหนดโทษนายจ้าง/ผู้ประสานงานให้ชัดเจน ทั้งต้องหารือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐฟินแลนด์ เพื่อหาแนวทางในการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยต่างประเทศในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศ (MOU) หรือถึงแม้ว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานก็ตาม เพื่อให้ทั้งสองประเทศร่วมกันในการแก้ไขปัญหาต่อไปทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมเดินหน้าต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง เพื่อปกป้อง คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงเพื่อขจัดการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงง
อ่านต่อ >22
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (18 มี.ค. 67) สถานการณ์ฝุ่นเชียงใหม่ล่าสุด ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ล่าสุด เว็บไซต์ IQAir รายงานคุณภาพอากาศของทั่วโลก เมื่อเวลา 10.00 น. พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย มีมลพิษสูงติดอันดับ 3 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก โดยมีค่า AQI ที่ 190 คำเตือนอยู่ในระดับสีแดง (AQI = 151-200) หรือมีผลกระทบต่อทุกคนสถานการณ์ล่าสุดในบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันไฟป่าไปทั้งเมือง ไม่สามารถมองเห็นดอยสุเทพติดต่อกันมาหลายวันแล้ว โดยพื้นที่ตำบลช้างเผือก และตำบลศรีภูมิ ค่าฝุ่น PM2.5 เช้าวันนี้ อยู่ระหว่าง 87.9 – 92.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงมาต่ำจากเมื่อวานนี้ เล็กน้อย ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายงานคุณภาพอากาศ แบบรายชั่วโมง บริเวณบ้านหัวโท อำเภอเชียงดาวเวลา 07.00 น. ค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 591 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือสูงเกินถึง 15 เท่า ซึ่งค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ประชาชนในพื้นที่อยู่อย่างยากลำบาก หายใจติดขัด ต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน และยังต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นควัน ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ พบจุดความร้อนกระจายใน 18 อำเภอ จำนวน 112 จุด พื้นที่อำเภอเชียงดาว มากที่สุด 20 จุด เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งดับไฟ ซึ่งบางพื้นที่เป็นภูเขาสูง ต้องใช้รถจักรยานยนต์ ในการขับขี่เข้าพื้นที่ ซึ่งการเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก และมีความทุลักทุเลล่าช้า สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น พบจุดความร้อน 192 จุด มากสุดที่อำเภอเมือง 78 จุด รองลงมาที่อำเภอปาย 35 จุด นายทวีชัย กันทใจ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า เกิดไฟป่าในท้องที่ป่าบ้านห้วยเดื่อ ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ปายฝั่งซ้ายจึงระดมกำลังเข้าดับไฟ พื้นที่ป่าถูกไฟไหม้ประมาณ 5 ไร่ด้านนายอำเภอแม่ฮ่องสอน สั่งการให้ส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าดับไฟป่าบริเวณด้านหลัง วัดป่าบ้านใหม่ ตำบลปางหมู, บ้านห้วยกุ้ง ตำบลห้วยปูลิง, บ้านทบศอก บ้านห้วยมะเขือส้ม ตำบลหมอกจำแป่, บ้านหัวน้ำแม่สะกึด บ้านผาบ่องเหนือ ตำบลผาบ่อง, ซึ่งมีการลักลอบเผาป่ามากที่สุด และพบว่าการเผาป่าได้มีการเริ่มเผาจากตัวหมู่บ้านออกไป เปลี่ยนมาเป็นลอบเผาจากด้านหลังเทือกเขา แล้วไฟป่าลามลงมาสู่หมู่บ้าน ทำให้ต้องเร่งดับไฟ
อ่านต่อ >16