พวกเราเรียกบันไดวัดในภาพหัวข้อบทความนี้ว่าอะไรกันค่ะ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะตอบกันว่า “ก็บันไดนาคไง” ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่ทนโท่ใช่มั้ยล่ะคะว่านี่คือหัวของพญานาคจริง ๆ แต่ถ้าวันนี้เราจะบอกว่าสัตว์ตรงที่อยู่ตรงราวบันไดนี้ไม่ใช่พญานาคล่ะคะลองดูกันให้ดี ๆ (ภาพโดยผู้เขียน) นี่คือ “มกร” สัตว์ที่อยู่นอกสายตาเรามาตลอด งานศิลปกรรมในลักษณะนี้เรียกว่า “มกรคายนาค” พบเห็นได้ตามวันหรือศาสนสถานทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และก็ประเทศลาว ส่วนหัวนั้นชัดเจนอยู่แล้วค่ะว่าเป็นพญานาค (ภาพโดยผู้เขียน)และช่วงลำตัวหรือราวบันไดนี่สิเป็นลำตัวของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “มกร” มกรมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ อย่างเช่นในตำนานป่าหิมพานต์เรียกว่า “เหรา (เห-รา)” ทางล้านนาเรียกว่า “มะกะระ มังกร หรือ ตัวสำรอก” ตำนานแม่น้ำโขงเรียกว่า “เงือกงู” แต่ถ้าคุณลองค้นหาคำว่า “Makara” ใน google ก็จะเห็นรูปร่างหน้าตาของสัตว์ชนิดนี้ผิดแปลกแตกต่างกันไปอีกมากมาย ถ้าอิงจากศิลปะล้านนา มกรหรือเหราคือสัตว์ผสมระหว่างจระเข้กับพญานาคมีลำตัวยาวคล้ายกับพญานาคมีหัวมีปากคล้ายจระเข้ (ภาพโดยผู้เขียน) บ้างก็มีเขี้ยวยาวโค้งที่สำคัญคือมีขายื่นออกมาจากลำตัวเหมือนจระเข้ แต่ถ้าไปดูตำนานของฮินดูมกรคือสัตว์ประหลาดในทะเล มีลักษณะของสัตว์บกผสมสัตว์น้ำ เช่น ช้างผสมกับจระเข้ ผสมกับปลา และก็มันจะสร้างประดับตามทางเข้าของเทวสถาน นอกจากนี้มกรยังเป็นพาหนะของพระพิรุณเทพแห่งสายฝนอีกด้วย ซึ่งมันก็ตรงกับประเพณีของล้านนาที่ใช้มกรในพิธีกรรมขอฝนแต่ถ้าจะโยงแก่นไปมากกว่านี้นั้นหน้าตาของมกรของฮินดูก็จะดูคล้ายกับลักษณะของราศีมังกร ในตำนานป่าหิมพานต์เราเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าเหราเป็นสัตว์ที่นอนเฝ้าอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ ดังนั้นศาสนสถานที่สื่อว่าเป็นเขาพระสุเมรุก็มักจะปั้นเหราเฝ้าอยู่ตามเชิงบันไดนั่นเองค่ะ บางครั้งมันก็เลยทำให้หลายคนสับสนว่าเหรากับตัวมอมเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันหรือเปล่า (ภาพโดยผู้เขียน) เราลองมารู้จักกับตัวมอมกันซักหน่อยดีมั้ยคะ “ตัวมอม” เป็นสัตว์ในคติความเชื่อของชาวล้านนามักจะประดับประดาอยู่ตามประตูโบสถ์วิหารของวัดทางภาคเหนือเช่นเดียวกับเหรานั่นแหละค่ะ แต่ลักษณะของตัวมอมพอจะสืบค้นได้ว่ามันได้รับอิทธิพลมาจากสิงห์ของจีน มีลักษณะผสมของลิง เสือ สุนัข แมว ตุ๊กแก กิ้งก่าเข้าไปด้วย จึงสรุปได้ว่ามอมไม่ใช่ญาติกับเหราหรือมกรอย่างแน่นอนค่ะ แล้วสงสัยกันมั้ยค่ะว่าทำไมมกรถึงต้องคายนาค มีสมมติฐานในแง่ของประวัติศาสตร์การเมืองชิ้นหนึ่งค่ะที่น่าสนใจเขาได้วิเคราะห์ตีความว่า พญานาคน่าจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งชาวล้านนา ส่วนมกรหรือเหรานั้นใช้เป็นสัญลักษณ์แทนอาณาจักรพุกาม ดังนั้นศิลปกรรมล้านนาในรูปมกรคายนาคนี้จึงเป็นการแสดงออกว่าล้านนาได้หลุดพ้นจากการครอบงำของพุกามแล้ว แต่มีใครแอบคิดเล่น ๆ เหมือนเรากันบ้างในเมื่อมันเป็นรูปปั้นนิ่ง ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามกรตัวนี้กำลังกินนาคหรือคายนาคกันแน่ เพราะถ้าเราตีความเขาข้างพุกามก็อาจจะมองได้ว่านี่เป็นรูปมกรกินนาคก็ได้จริงมั้ยคะ ลองมาหาคำตอบกันที่นี่ตำนานของภาคอีสานกันดูบ้างค่ะ (ภาพโดยผู้เขียน) ตำนานในแถบแม่น้ำโขงเรียกเหราหรือมกรนี้ว่า “เงือกงู” เรื่องเล่ามีอยู่ว่าเงือกงูรู้สึกอิจฉาริษยาพญานาคที่คำว่านาคถูกนำไปใช้เรียกคนที่กำลังจะบวชเป็นพระ เงือกงูก็เลยหาเรื่องท้าประลองจะเอาชนะพญานาค แต่พญานาคเกรงว่าการต่อสู้ประลองกันจะสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นพญานาคจึงยื่นข้อเสนอว่าถ้าเงือกงูสามารถกลืนกินตนได้ทั้งตัวให้ถือว่าเงือกงูเป็นฝ่ายชนะไปเลย เงือกงูจึงพยายามกลืนพญานาคตั้งแต่หางขึ้นไปแต่ก็ไม่สามารถกลืนส่วนหัวของพญานาคได้ รูปปั้นของพญานาคตามบันไดศาสนสถานในภาคอีสานรวมถึงประเทศลาวจึงมักจะมีส่วนหัวเป็นพญานาคแต่มีส่วนลำตัวเป็นของเงือกงูนั่นเองค่ะ มาถึงตรงนี้แล้วเราว่าเราก็ยังสรุปไม่ได้อยู่ดีว่าศิลปกรรมที่เห็นอยู่นี้เป็นมกรคายนาคหรือมกรกลืนนาค หรือมกรแค่คาบนาคเฉย ๆ กันแน่ แต่เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าหลังจากนี้เวลาที่เราเห็นบันไดนาคที่วัดใดก็ตามมกรหรือเหราจะไม่ใช่สัตว์นอกสายตาของเราอีกต่อไป