ภาพปกจาก freepik เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา วารสารทางการแพทย์ที่มีชื่อว่า The New England Journal of Medicine (NEJM) ได้เผยแพร่ตีพิมพ์งานวิจัยฉบับหนึ่งที่เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้ยาต้านไวรัสที่มีชื่อว่า Lopinavir–Ritonavir ในผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งแน่นอนว่างานวิจัยฉบับนี้ถือเป็นงานวิจัยสำคัญสำหรับแพทย์ที่ถือว่าเป็นนักรบแนวหน้าในสงครามโควิด-19 ทั่วโลกเลยทีเดียว เนื้อหาในงานวิจัยจะเป็นเช่นไร สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ ภาพจาก freepik เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ที่แพทย์ไทยได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการใช้ยาสูตรผสมระหว่างยาต้านไวรัส Lopinavir–Ritonavir ที่โดยปกติจะใช้สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV แต่เนื่องจากกลไกของยานั้นสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสได้จึงมีการนำมาใช้สำหรับรักษาโควิด-19 โดยให้ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ชื่อ Oseltamivir แล้วพบว่าผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการดีขึ้นจนทำให้เป็นที่ฮือฮาของวงการแพทย์ทั่วโลก แต่ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่ยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อรุนแรงจากไวรัส SARS-CoV-2 จึงเป็นที่มาและความสำคัญในการทำงานวิจัยที่มีชื่อว่า A Trial of Lopinavir–Ritonavir in Adults Hospitalized with Severe Covid-19 นี้ค่ะ รูปแบบงานวิจัยจะเป็นการวิจัยแบบ Randomized controlled open-label งานวิจัยในรูปแบบนี้จะเป็นรูปแบบงานวิจัยแบบสุ่มให้ยา ใช้วิธีการสุ่มที่ได้มาตรฐาน ผู้วิจัยจะไม่มีการลำเอียงคัดเลือกผู้ป่วยที่มีอาการดีกว่าเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และผู้เข้าร่วมวิจัยจะทราบว่าตนเองจะได้รับการรักษาด้วยยาแบบใด ซึ่งผู้วิจัยได้ให้เหตุผลว่าที่ต้องทำเป็นการวิจัยแบบเปิดเนื่องจากไม่สามารถจัดหายาหลอก (Placebo) สำหรับใช้ในการวิจัยขณะที่กำลังทำการวิจัยนี้ได้ ภาพจาก freepik โดยกลุ่มประชากรที่เข้าร่วมการศึกษาศึกษาจะเป็นผู้ป่วยทั้งเพศหญิง (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) และเพศชายที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และได้รับการวินิจฉัยยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ SARA-CoV-2 ที่จัดอยู่ในระดับรุนแรงจำนวน 199 ราย ซึ่งจะมีรายละเอียดต่าง ๆ กำหนดไว้ เช่น มีภาพ X-ray ปอด มีระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 94% มีอัตราส่วนของ Partial Pressure of Oxygen (Pao2) ต่อ Fraction of Inspired Oxygen (Fio2) น้อยกว่า 300 มิลลิเมตรปรอท ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา Lopinavir–Ritonavir ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับชนิดรุนแรง เช่น เป็นโรคตับแข็ง มีค่าระดับเอนไซม์ตับสูงกว่าปกติเกิน 5 เท่า ผู้ป่วยที่ใช้ยาที่ห้ามให้ร่วมกับยา Lopinavir–Ritonavir ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HIV จะไม่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมการศึกษานี้ และผู้ป่วยทุกรายได้ให้ความยินยอมในการเข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้แล้ว ภาพจาก freepik งานวิจัยนี้ทำที่โรงพยาบาล Jin Yin-Tan เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และได้มีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มเท่า ๆ กันในอัตรส่วน 1:1 โดยจะมีผู้ป่วยจำนวน 100 รายรับการรักษาตามแนวทางมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ SARA-CoV-2 ซึ่งได้แก่ การให้ออกซิเจน การใส่เครื่องช่วยหายใจ การให้ยาปฏิชีวนะ การบำบัดทดแทนไต การให้ยาฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต ไปจนถึงการใส่เครื่องช่วยพยุงหัวใจและปอด กับผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน 99 รายจะได้รับการรักษามาตรฐานเช่นเดียวกันกับกลุ่มแรก แต่จะมีการให้ยา Lopinavir–Ritonavir ขนาด (400 และ 100 มิลลิกรัม; เป็นยาสูตรผสมในเม็ดเดียว) รับประทานร่วมด้วยวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 14 วัน โดยกำหนดให้ผลลัพธ์หลักที่ต้องการศึกษาก็คือระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการแสดงทางคลินิกดีขึ้น (Time to Clinical Improvement) ซึ่งได้แก่ Seven-Category Ordinal Scale เป็นการประเมินผลการรักษา 7 ข้อ และระยะเวลาที่นับตั้งแต่วันแรกที่ผู้ป่วยเข้าร่วมรักษาผ่านงานวิจัยไปจนถึงวันสุดท้ายที่ผู้ป่วยได้กลับบ้าน และยังมีการประเมินผลลัพธ์ด้านอื่น ๆ เช่น จำนวนวันที่ต้องนอน ICU รวมถึงมีการติดตามผลของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Lopinavir–Ritonavir ร่วมด้วย เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนท้องเสีย ภาพจาก freepik จากผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผลลัพธ์ในด้านของระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการแสดงทางคลินิกดีขึ้นไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับหรือไม่ได้รับยา Lopinavir–Ritonavir ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตในวันที่ 28 หลังจากการรักษาไม่แตกต่างกัน จำนวนผู้ป่วยที่ตรวจพบ RNA ของไวรัสโดยคิดเป็นเปอร์เซนต์ที่เวลาต่าง ๆ ก็ไม่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ให้ข้อสรุปไว้ว่าในกรณีที่เป็นผู้ป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 การให้ยาต้านไวรัส Lopinavir–Ritonavir นี้อาจไม่มีประโยชน์ในแง่ของ Time to Clinical Improvement แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาในกลุ่มประชากรที่จำกัดดังนั้นจึงต้องรอผลจากงานวิจัยอื่น ๆ มาช่วยยืนยันและสนับสนุนผลงานวิจัยต่อไป ภาพจาก freepik สำหรับภาคประชาชนที่ได้อ่านงานวิจัยฉบับนี้ก็อย่าเพิ่งตื่นตกใจไปกับผลงานวิจัย เนื่องจากงานวิจัยนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการรักษาแบบหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะหนึ่งเท่านั้น และยังเป็นงานวิจัยที่มีข้อจำกัดต่าง ๆ หลายประการ รวมถึงระยะเวลาที่เริ่มให้ยา Lopinavir–Ritonavir จะมีการเริ่มให้ยาประมาณวันที่ 13 นับตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ไม่ได้เริ่มให้ยาตั้งแต่วันแรก จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าการให้ยาต้านไวรัสชนิดนี้เร็วขึ้นจะมีประโยชน์ต่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นของผู้ป่วยหรือไม่ ดังนั้นเพื่อช่วยหยุดยั้งความรุนแรงในการแพร่ระบาดของเชื้อ และเพื่อให้บุคคลากรสาธารณสุขทั่วโลกได้มีเวลาเตรียมรับมือในการหาอาวุธมาต่อสู้กับสงครามโควิด-19 นี้ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องปฏิบัติตนตามขั้นตอนการป้องกันตัวจากการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing หรือการหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี การล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือที่บริเวณใบหน้า ก็จะช่วยให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อมากขึ้น รวมถึงยังช่วยลดโอกาสของการส่งต่อเชื้อจากผู้ที่ติดเชื้อไปยังบุคคลอื่น ๆ ได้อีกด้วย อ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่นี่ A Trial of Lopinavir–Ritonavir in Adults Hospitalized with Severe Covid-19 บทความอื่น ๆ ของผู้เขียนเกี่ยวกับโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส - DIY เจลล้างมือแอลกอฮอล์ แบบง่าย ๆ แถมยังได้ความเข้มข้นแบบเป๊ะ ๆ - หยุดสัมผัส ก็ลดโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด 19) ได้ - เจลล้างมือแอลกอฮอล์ ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งดี จริงหรือ !? พร้อมวิธีการทำแอลกอฮอล์เจลใช้เอง - อัพเดตล่าสุด สรุปครบทุกประเด็นเกี่ยวกับ “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) - อย่าเชื่อข่าวลือ! ติดตามข่าวโรคติดเชื้อ "ไวรัสโคโรนา" ได้โดยตรง จากกรมควบคุมโรค - 😷 จริงหรือไม่ หน้ากากอนามัย "ยิ่งใส่" เท่ากับ "ยิ่งเสี่ยง" ? - 😷 อย่าเชื่อข่าวลวงกินสมุนไพรต้านโควิด 19 - “กระเทียม” ฆ่าโคโรนาไวรัส “ไม่ได้” - จับตามอง "โควิด-19" หลังองค์การอนามัยโลกประกาศเป็น "การระบาดใหญ่ (Pandemic)" - 📝 ผลจากงานวิจัยสรุปแล้วว่า "น้ำยาฆ่าเชื้อป้องกันโควิด-19" ตัวไหนดีที่สุด - 😷 ชัวร์ก่อนแชร์ "รวมเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับโควิด-19" - "Social Distancing" มาตรการเลี่ยงการพบปะ ช่วยชะลอความรุนแรงโควิด-19 - 😷 วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไวรัสโคโรน่า เมื่อคุณไม่มีทั้ง "หน้ากากอนามัย" และ "แอลกอฮอล์เจล" - วิธีประเมินตนเองเบื้องต้น เปรียบเทียบระหว่าง "อาการโควิด-19 VS ไข้หวัดธรรมดา"