รีเซต

โรคฝีดาษลิงกลายพันธุ์เร็วขึ้น! ศูนย์จีโนมฯ เผยผลวิจัยชี้ 4 ปี กลายพันธุ์ 40 ตำแหน่ง

โรคฝีดาษลิงกลายพันธุ์เร็วขึ้น! ศูนย์จีโนมฯ เผยผลวิจัยชี้ 4 ปี กลายพันธุ์ 40 ตำแหน่ง
TNN ช่อง16
8 มิถุนายน 2565 ( 13:43 )
120

วันนี้ (8 มิ.ย.65) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ฝีดาษลิงที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นสายพันธุ์ฝีดาษลิงที่มีการกลายพันธุ์แล้ว 

โดยผลการวิจัยของนักวิจัยที่ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวของไวรัสฝีดาษลิง ที่มีการระบาดหลายประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ตั้งแต่พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ไวรัสฝีดาษลิงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เกิดการกลายพันธุ์ไปถึง 40 ตำแหน่ง


เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้นเป็น 1 ตำแหน่งต่อเดือน จากเดิมเป็นเพียง 1 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งสัญญาณเหล่านี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องเตรียมการรับมือ 

และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ที่อาจจะพบโรคฝีดาษลิงแพร่ระบาดเข้ามาสู่ประเทศไทยในอนาคต ซึ่งทำให้กังวลถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะไวรัสฝีดาษลิง ที่หากติดเชื้อจะต้องมีการกักตัวตั้งแต่ขึ้นตุ่มจนตกสะเก็ด โดยกินเวลานานถึง 2-4 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานกว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาก

ทั้งนี้ โรคฝีดาษลิงไม่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ แต่เกิดจากการสัมผัสตุ่มน้ำของผู้ป่วยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใกล้ชิดกัน ซึ่งปัจจุบันพบว่ารอยของโรคหรือตุ่มน้ำที่ขึ้นบริเวณผิวหนังนั้น มีการวิวัฒนาการของสายพันธุ์ ที่ทำให้ตุ่มน้ำขึ้นในที่ลับใต้ร่มผ้า 

เช่น บริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ว่าเป็นโรคกามโรคเพราะตุ่มน้ำที่ขึ้นมีลักษณะคล้ายกับโรคเริม ซึ่งแม้จะมีการป้องกันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อด้วยการสวมถุงยางอนามัยก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงการติดเชื้อได้ 

ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในต่างประเทศ เข้าไปรับการรักษาตัวในคลินิกโรคติดต่อทางเพศกันเป็นจำนวนมาก และมารู้ภายหลังการตรวจว่าเป็นโรคฝีดาษลิง

ก่อนหน้านี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่าสถานการณ์ฝีดาษลิงแม้ระบาดไม่รุนแรง ติดเชื้อค่อนข้างช้า แตกต่างจากเชื้อโควิด ความจำเป็นในการให้วัคซีนคนทั่วไปจึงมีน้อย แต่อาจจำเป็นเฉพาะกลุ่ม 

เบื้องต้นได้หารือกับศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา หรือ CDC เพื่อแสดงเจตจำนงสนใจวัคซีนฝีดาษลิงรุ่นใหม่ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องของประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงขนาดไหน รวมถึงต้องพิจารณาสถานการณ์ระบาดร่วมด้วย.


ภาพจาก Center for Medical Genomics

ข่าวที่เกี่ยวข้อง