หากพูดถึงการละเล่นที่เป็นที่โจษขานในจังหวัดสุรินทร์แล้วนั้น การละเล่นเรือมตร๊ดถือว่าเป็นอีกหนึ่งการละเล่นที่มีผู้คนกล่าวถึง และได้รับความนิยมกันอย่างล้นหลามในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ เพราะนอกจากจะทำให้ได้ผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ยังได้ทำบุญร่วมกันอีกด้วย การละเล่นเรือมตร๊ดมีมาตั้งแต่สมัยใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อแม่พี่น้องในหมู่บ้านเล่นการละเล่นนี้แล้วในช่วงสงกรานต์ หรือในภาษาเขมรเรียกว่า "แคแจด"ถือเป็นการสิ้นสุดปีเก่าในการนับปีของชาวบ้านในสมัยก่อน ผู้คนในหมู่บ้านจะออกมาร้องเล่นเต้นเพลง พักผ่อนหย่อนใจ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ภาพโดย PANGKHAM การละเล่นเรือมตร๊ดนี้ยังได้สัมพันธ์กับอีกหนึ่งเทศกาลของชาวเขมรสุรินทร์ คือ "ตราแจด" เป็นการทำบุญหมู่บ้าน ก่อนเทศกาลนี้จะมีการเรือมตร๊ดเล่นไปตามหมู่บ้าน มีผู้เป็นหัวหน้าตร๊ด ในภาษาเขมรเรียกว่า "ตังเคา" เป็นผู้พาสมาชิกในหมู่บ้านทั้งชายและหญิง แต่งตัวสวยงามออกมาเล่นตร๊ดด้วยกัน แต่ในทุกวันนี้ผู้ที่เล่นตร๊ดมักจะมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่สามารถร้องและเป็นลูกรับได้ออกมาเล่นไปตามหมู่บ้านเท่านั้น เมื่อเล่นไปถึงบ้านใคร บ้านนั้นก็ต้องออกมาต้อนรับคณะตร๊ดที่ไปถึงและร่วมกันบริจาคทำบุญให้กับคณะตร๊ด การเล่นตร๊ดนี้จะหยุดเล่นหนึ่งวันก่อนถึงวันตราแจด และเมื่อถึงวันตราแจดผู้เล่นตร๊ดและชาวบ้านจะร่วมกันนำเงินหรือข้าวของต่าง ๆ ที่ได้มาจากการเล่นตร๊ดไปทำบุญหมู่บ้าน ทำให้การเล่นสงกรานต์ในหมู่บ้านอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะของชาวบ้านที่ได้มาพบปะสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ภาพโดย PANGKHAMทำนองในการร้องของแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันออกไป ในชุมชนบ้านโคกกลาง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์นั้น มีอยู่หลายบทหลายทำนองด้วยกัน ซึ่งจะนำมายกตัวอย่าง คือ ทำนองเนียงยอง เป็นการร้องหยอกเหย้าผู้หญิง ทำนองรำพาย เป็นการร้องเกี้ยวกันระหว่างหญิงชาย ตังเคา หรือ ผู้นำร้อง จะเป็นผู้ร้องนำ และให้ผู้หญิงเป็นผู้ร้องรับ ทำนองจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องตลก เช่น ร้องว่าไปจับช้างมาได้ 3 ตัว แต่ช้างหลุดไป 1 ตัว เครื่องดนตรีมีเพียงกลอง ฉิ่ง และฉาบ เพียงเท่านั้น ภาพโดย PANGKHAM การละเล่นเรือมตร๊ดนี้เป็นประเพณี วัฒนธรรมการละเล่นที่มอบความสุขความสนุกให้ชาวบ้าน และยังแฝงไปด้วยการทำให้ชาวบ้านได้รู้จักรักใคร่กลมเกลียวกัน ได้ทำบุญร่วมกัน ซึ่งเป็นการละเล่นที่มีความโดดเด่น งดงาม และมีเอกลักษณ์ด้านเนื้อร้องที่เป็นภาษาเขมร นอกจากนี้ยังช่วยเติมแต่งสีสันในยามหน้าแล้งให้กับแผ่นดินอีสานได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเป็นประเพณีที่น้อยคนนักจะรู้จัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามนี้ให้ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน และคงอยู่กับสังคมไทยสืบไป ภาพโดย PANGKHAMออกแบบปกโดย PANGKHAM