9 วิธีลดความชื้นภายในบ้าน เพื่อป้องกันสารก่อภูมิแพ้ ทำยังไง อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมบางครั้งเราถึงรู้สึกคันจมูก ไอ หรือมีผื่นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ? หรือทำไมคนในบ้านถึงมีอาการภูมิแพ้กำเริบอยู่บ่อยๆ? ซึ่งหนึ่งในตัวการสำคัญที่หลายคนมองข้ามไป คือ ความชื้นภายในบ้านค่ะ เพราะความชื้นที่สูงเกินไป ไม่ใช่แค่ทำให้บ้านรู้สึกอับทึบไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่น เชื้อราและจุลินทรีย์ชนิดอื่น ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้นและอับ และเมื่อเราหายใจเอาอนุภาคของสิ่งเหล่านี้เข้าไป ก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆ ตามมานั่นเองนะคะ ดังนั้นการทำความเข้าใจและรู้วิธีการลดความชื้นภายในบ้าน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาดหรือความสวยงามของที่อยู่อาศัย แต่เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและลดอาการภูมิแพ้ และเพื่อสุขอนามัยที่ดีของทุกคนในครอบครัว เพราะเมื่อเราสามารถควบคุมระดับความชื้นให้เหมาะสมได้ เราก็จะตัดวงจรการขยายพันธุ์ของสารก่อภูมิแพ้ไปได้เหมือนกัน จึงทำให้บ้านของเรากลายเป็นพื้นที่ที่สะอาด เหมาะสม และทุกคนสามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด ดังนั้นการรู้แนวทางต่างๆ ในการจัดการความชื้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรให้ความสำคัญ เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพและห่างไกลจากปัญหาภูมิแพ้ในระยะยาวคะ ซึ่งต่อไปนี้คือแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องความชื้นภายในบ้านค่ะ 1. ระบายอากาศด้วยพัดลมดูดอากาศ การลดความชื้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และการใช้พัดลมดูดอากาศ เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดี ยิ่งถ้าบ้านของเราคือกล่องปิดทึบที่มีความชื้นสะสมอยู่เรื่อยๆ การเปิดหน้าต่างอาจช่วยได้บ้าง แต่ไม่พอเสมอไปค่ะ โดยเฉพาะในวันที่อากาศภายนอกมีความชื้นสูง ดังนั้นการใช้พัดลมดูดอากาศจะเหมือนกับการสร้างช่องระบายอากาศพิเศษ ที่ดึงเอาอากาศชื้นภายในบ้านออกไปอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยให้อากาศหมุนเวียนได้ดีขึ้น ลดการสะสมของความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้บ้านของเรารู้สึกโปร่งสบาย ลดกลิ่นอับ และช่วยให้ของใช้ต่างๆ ในบ้านไม่เสียหายจากความชื้นอีกด้วยนะคะ 2. ซ่อมแซมรอยรั่วซึมและน้ำขัง หนึ่งในต้นตอสำคัญของความชื้นที่เรามักไม่ทันสังเกต คือ รอยรั่วซึมและน้ำขังค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่มีรอยแตกร้าวเล็กๆ บนหลังคา ผนัง หรือรอบหน้าต่าง เมื่อฝนตกน้ำก็จะค่อยๆ ซึมเข้ามาสะสมอยู่ภายในโครงสร้าง หรือบริเวณที่มีน้ำขังนิ่งๆ เช่น กระถางต้นไม้ใต้แอร์ที่ไม่มีการระบายน้ำที่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งเพาะความชื้นชั้นดีที่มองไม่เห็นในตอนแรก และจะค่อยๆ ปล่อยความชื้นออกมาในอากาศตลอดเวลา ซึ่งการแก้ไขที่ต้นเหตุด้วยการซ่อมแซมรอยรั่วซึมและกำจัดน้ำขัง เป็นการแก้ปัญหาความชื้นได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากกว่าการแค่ระบายอากาศ เพราะเป็นการหยุดวงจรการเกิดความชื้นใหม่ ทำให้บ้านของเราแห้งสบาย ลดปัญหาต่างๆ ที่ตามมา และช่วยรักษาสภาพบ้านให้คงทนอยู่กับเราไปได้นานขึ้นอีกด้วยค่ะ 3. เปิดหน้าต่างและประตูเพื่อระบายอากาศ รู้ไหมคะว่า วิธีที่ง่ายที่สุดแถมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คือ การเปิดหน้าต่างและประตูเพื่อระบายอากาศค่ะ เมื่อบ้านเราปิดทึบเหมือนกล่อง สถานการณ์นี้จะเก็บกักอากาศชื้นไว้ข้างในตลอดเวลา ทำให้บ้านรู้สึกอับและหายใจไม่โล่ง พอเราเปิดหน้าต่างและประตู อากาศภายนอกที่สดชื่นกว่าก็จะไหลเข้ามาแทนที่ อากาศที่ชื้นและอับก็จะถูกพัดพาออกไปข้างนอก นี่เป็นเหมือนการหายใจของบ้านเลยก็ว่าได้ การทำแบบนี้เป็นประจำ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความชื้นสะสม แต่ยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้บ้านรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย และยังช่วยลดแหล่งสะสมของสิ่งคุกคามสุขอนามัยได้อีกด้วยนะคะ 4. ตรวจสอบและทำความสะอาดรางน้ำฝน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า หนึ่งในต้นตอที่มักถูกลืมคือรางน้ำฝนที่เราเห็นอยู่ตามชายคาบ้านค่ะ ยิ่งถ้าฝนตกหนักๆ แล้วรางน้ำฝนอุดตันไปด้วยเศษใบไม้หรือสิ่งสกปรก น้ำฝนก็จะไหลเอ่อล้นออกมา และไม่ได้ระบายไปตามที่ควรจะเป็น ที่อาจจะซึมเข้าสู่ผนังบ้าน หลังคา หรือแม้แต่รากฐานโดยที่เราไม่รู้ตัว และสิ่งนี้เองที่นำพาความชื้นเข้ามาสะสมอยู่ในตัวบ้านอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบและทำความสะอาดรางน้ำฝนเป็นประจำ จึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการป้องกันไม่ให้น้ำฝนที่ควรจะถูกระบายออกไป กลับกลายมาเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านเราชื้นแฉะ การดูแลจุดเล็กๆ นี้จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้บ้านของเราแห้งสบาย ห่างไกลจากปัญหาเชื้อราและกลิ่นอับได้อย่างง่ายดายค่ะ 5. ใช้พรมเช็ดเท้าซับน้ำและหมั่นทำความสะอาด พรมเช็ดเท้าซับน้ำดูเหมือนจะเป็นของใช้เล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์มากกว่าที่คิดค่ะ เพราะการวางพรมซับน้ำไว้ตามจุดต่างๆ ที่มีการสัญจรบ่อยๆ เช่น หน้าประตูห้องน้ำ ประตูทางเข้าบ้าน หรือระเบียง จะช่วยดักจับความชื้นที่ติดมากับรองเท้าหรือเท้าของเราได้เป็นอย่างดี ทำให้พื้นบ้านแห้งเร็วขึ้น ลดโอกาสที่สิ่งปนเปื้อนและสารก่อภูมิแพ้จะเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือต้องหมั่นนำพรมเช็ดเท้าไปทำความสะอาดเป็นประจำ อาจจะซัก ตากแดด หรือดูดฝุ่น เพื่อทำให้ไม่กลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกนะคะ เพียงเท่านี้เราก็สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและห่างไกลจากสารก่อภูมิแพ้ให้คนในครอบครัวได้อย่างง่ายดายแล้วค่ะ 6. ไม่ตากผ้าในบ้าน หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการตากผ้าในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝนหรือวันที่อากาศไม่เป็นใจ แต่คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของเรามากกว่าที่คิด? เพราะเมื่อเราตากผ้าในบ้าน ความชื้นจากผ้าที่เปียกจะระเหยออกมาและลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ระดับความชื้นสัมพัทธ์ภายในบ้านสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา เพราะความชื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่น เชื้อรา และจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ตัวร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการตากผ้าในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ในห้องน้ำ จึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความชื้นสะสม และสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด เหมาะสม และดีต่อสุขอนามัยของทุกคนในบ้านได้อย่างยั่งยืนค่ะ 7. ใช้สารดูดความชื้น หลายคนอาจจะเคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับสารดูดความชื้นมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ด แบบซองหรือแบบกล่องเล็กๆ ที่วางขายทั่วไป รู้ไหมคะว่าสิ่งเล็กๆ ในรูปแบบต่างๆ นี้มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยดูแลสุขนามัยของเราค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านที่รู้สึกอับชื้น หรือช่วงหน้าฝนที่ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูงลิ่ว เนื่องจากสารดูดความชื้นจะทำหน้าที่เหมือนแม่เหล็ก ที่คอยดึงความชื้นส่วนเกินออกจากอากาศและกักเก็บไว้ในตัวเอง ซึ่งการลดความชื้นในอากาศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความชื้นคือแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยชั้นดีของสารก่อภูมิแพ้ ดังนั้นการวางสารดูดความชื้นไว้ในจุดที่อับชื้นง่าย เช่น ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก ใต้เตียง หรือในห้องน้ำ จะช่วยควบคุมระดับความชื้นให้เหมาะสม และทำให้บ้านของเราแห้งสบายขึ้น และลดการเจริญเติบโตของสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทุกคนในครอบครัว ยังไงนั้นลองพิจารณาใช้สารดูดความชื้น มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการดูแลบ้านของเรากันค่ะทุกคน 8. จัดระเบียบและไม่เก็บของแน่นเกินไป สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ การจัดเก็บของที่แน่นเกินไปค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่หนังสือที่กองสุมกันไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน การมีของเยอะเกินความจำเป็นและจัดเก็บอย่างไม่เป็นระเบียบ ไม่เพียงแต่ทำให้บ้านดูรกเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความชื้นสะสมได้ง่ายขึ้นด้วย ลองนึกภาพดูสิคะว่า เมื่อของวางทับถมกันแน่น อากาศก็ถ่ายเทไม่สะดวก ความชื้นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น การทำอาหาร หรือแม้กระทั่งความชื้นจากภายนอก ก็จะถูกกักเก็บไว้ ไม่สามารถระบายออกไปได้ดี และเมื่อความชื้นสูงขึ้น ก็จะกลายเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่นและเชื้อรา ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ตัวร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การจัดการบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่เก็บของแน่นเกินไป หมั่นทำความสะอาด และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก จึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดความชื้นในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ได้อย่างยั่งยืนค่ะ 9. ทำความสะอาดช่องว่างและซอกหลืบเป็นประจำ หลายคนอาจคิดว่าแค่ทำความสะอาดบ้านโดยรวมก็น่าจะพอแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ซอกหลืบหรือช่องว่างต่างๆ ที่เรามองข้ามไป คือ จุดอันตรายที่มองไม่เห็นค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นรอยต่อพื้น ผนัง ด้านหลังตู้ ชั้นวางของ หรือแม้แต่ตามมุมห้องต่างๆ ที่ยากจะเข้าถึง เพราะมักจะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นละออง เศษผม ขนสัตว์ และสิ่งสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามไปได้ง่ายๆ เมื่อซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมตัวกับความชื้น ที่อาจเกิดขึ้นจากการควบแน่นของอากาศ หรือการระบายอากาศที่ไม่ดี ก็จะกลายเป็นสภาวะที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่นและเชื้อรา ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ตัวร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเหล่านี้สามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศ และเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเราได้ ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆ ดังนั้นการหมั่นทำความสะอาดตามซอกหลืบและช่องว่างต่างๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่น การเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือการใช้ไม้กวาดขนอ่อนๆ ปัด ก็จะช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและความชื้นได้เป็นอย่างดี ทำให้บ้านของเราสะอาด มีสิ่งแวดล้อมดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ค่ะ และทั้งหมดนั้นคือแนวทางที่สามารถลดความชื้นภายในบ้านได้ค่ะ โดยอ่านจบแล้วหลายคนอาจรู้สึกว่า ทำไมเยอะจังกับสิ่งที่ต้องทำ ต้องตายแน่ๆ ถ้าต้องทำทุกอย่างทุกวัน ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียวค่ะแต่ต้องเริ่มจากจุดที่สำคัญ เพราะหัวใจสำคัญคือการเข้าใจว่า ทุกวิธีที่ผู้เขียนได้พูดถึงนั้นล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือลดความชื้นสะสม ซึ่งเป็นบ่อเกิดของไรฝุ่นและเชื้อรา ที่ตัวการของอาการภูมิแพ้ ดังนั้นการเลือกวิธีการจัดการที่เหมาะสมกับบ้านและไลฟ์สไตล์ของเราต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ โดยในสถานการณ์จริงที่จะดูไม่ยุ่งยากนั้น เราสามารถเริ่มต้นจากจุดที่ส่งผลกระทบมากที่สุดและทำได้ง่ายที่สุดก่อนได้เลยค่ะ ให้ลองสำรวจดูว่าจุดไหนในบ้านที่รู้สึกอับชื้นเป็นพิเศษ หรือจุดไหนที่มีการสะสมของฝุ่นและความชื้นมากที่สุด เช่น ถ้าบ้านเราชอบตากผ้าในบ้านเป็นประจำ การเปลี่ยนไปตากผ้านอกบ้านหรือใช้เครื่องอบผ้าก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะคะ หรือหากบ้านมีมุมอับทึบเยอะ การจัดระเบียบและเปิดหน้าต่างระบายอากาศบ่อยขึ้นก็น่าจะช่วยได้มาก การค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยนและทำทีละเล็กละน้อย และให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในจุดที่เข้าถึงยาก เพียงเท่านี้เราก็สามารถลดความชื้นและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขอนามัย และลดความเสี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ โดยไม่ต้องรู้สึกยุ่งยากจนเกินไปได้แล้วค่ะ เพราะผู้เขียนเองก็ได้ดูแลบ้านเพื่อลดการสะสมของความชื้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกันค่ะ อะไรเกิดในตอนนั้นก่อน ก็เข้าไปจัดการก่อน จุดไหนดูปัญหาค่อนข้างรุนแรงก่อน ไปสะสางก่อน จุดไหนรอได้ ก็เอาไว้ทำความสะอาดทีหลังค่ะ ซึ่งผู้เขียนมักปรับใช้หลายแนวทางแบบหลากหลายเสมอๆ โดยการเปิดบ้านเพื่อรับแดดรับลมเป็นสิ่งที่ทำประจำนะคะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านก็อย่าลืมนำแนวทางต่างๆ ไปใช้กันค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #ลดความชื้น #จัดการบ้าน #ป้องกันเชื้อรา #IndoorAirQuality เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Wuttichai1983 จาก Freepik และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 10 วิธีรับมือกับปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 จากการจราจร ในช่วงฤดูฝน 10 วิธีจัดการสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน เพื่อลดการนำพาละอองเกสร ทำไงดี 12 แนวทางดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ช่วงหน้าฝน ต้องทำอะไรบ้าง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !