รีเซต

สศช.ห่วงฐานะการคลังเสี่ยง ฉุดเครดิตประเทศร่วง

สศช.ห่วงฐานะการคลังเสี่ยง ฉุดเครดิตประเทศร่วง
TNN ช่อง16
25 สิงหาคม 2568 ( 17:05 )
12

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) หรือสภาพัฒน์  ได้วิเคราะห์” การรักษาเสถียรภาพทางการคลังและมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating)” ในรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ว่า

เมื่อพิจารณาข้อจำกัดทางการคลังโดยเฉพาะด้านความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 16 ต่อ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ร้อยละ 24.8 และร้อยละ 18.6 ขณะเดียวกันไทยยังมีความเสี่ยงจากการที่หนี้ สาธารณะปรับตัวเข้าสู่เพดานหนี้ตามกฎหมายที่ร้อยละ 70 ต่อ GDP เร็วกว่าในระยะต่อไป 

ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้รัฐบาลของไทยพบว่า โดยเฉลี่ยมีสัดส่วนภาษีทางอ้อมคิดเป็นร้อยละ 51.4 ขณะที่ภาษีทางตรงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.2 ประกอบกับโครงสร้างภาษีพึ่งพาฐานการบริโภคมากกว่าฐานรายได้หรือฐานทรัพย์สิน และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ 

ดังนั้น ในระยะต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุที่มี สัดส่วนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษี ขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุม รวมทั้งพิจารณาทบทวนและยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ผ่านมาตรการทางภาษีที่ไม่เกิดความคุ้มค่า การลดความซ้ำซ้อน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะเท่าที่จำเป็น 

ขณะเดียวกัน ปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้เป็นหนึ่งเกณฑ์สำคัญต่อการประเมินความเข้มแข็งทางการคลัง โดยพิจารณาจากสัดส่วน ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาล ซึ่งหากเกณฑ์ดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 12 มีความเสี่ยงที่จะถูกพิจารณาอยู่ในระดับ Non-investment Grade (กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน) หรือ Speculative Grade (กลุ่มที่ลงทุนเพื่อการเก็งกำไร) 

ทั้งนี้ สศช. ประเมินสัดส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 12 ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง 

ดังนั้นการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐจึงควรต้องจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ในส่วนของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินที่สูงขึ้นมากตั้งแต่ในช่วงวิกฤติ โควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่างทางการคลังและเพื่อไม่ให้เสถียรภาพทางการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิตของไทยโดย Moody’s อยู่ที่ Baa1 มีมุมมองเป็น Negative outlook  ขณะที่ S&P Global Ratings และ Fitch Ratings รายงานการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองไว้ที่ Stable Outlook 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง