ใครจะไปคิดว่าตลับเกมสีเทาๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ จะสามารถบรรจุความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายๆ คนเอาไว้ได้มากมายขนาดนี้ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza บนเครื่อง Famicom คือหนึ่งในเกมที่ผมเชื่อว่า เกมเมอร์ยุค 90s หลายคนต้องเคยสัมผัส และยังคงจดจำความสนุกของมันได้เป็นอย่างดี วันนี้ผมจะขอพาทุกคน ย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับความทรงจำในอดีต พร้อมเจาะลึกทุกแง่มุมของเกม RPG แนว Turn-Based สุดคลาสสิคเกมนี้กันครับ เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นที่แฟนพันธุ์แท้ต้องยกนิ้วให้! สิ่งที่ทำให้ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza โดดเด่นกว่าเกมดราก้อนบอลอื่นๆ ในยุคนั้น ก็คือการนำเสนอเนื้อเรื่องที่อ้างอิงมาจากภาคฟรีเซอร์ในอนิเมะแบบเต็มๆ ไม่มีตัดตอน! เริ่มตั้งแต่การเดินทางผจญภัยไปยังดาวนาเม็กอันลึกลับ การต่อสู้กับสมุนของฟรีเซอร์สุดโหด การปรากฏตัวของกีนิวฟอร์ซสุดแกร่ง ไปจนถึงการปะทะกับจักรพรรดิ์แห่งความเย็นชาอย่างฟรีเซอร์ในร่างสุดท้าย ซึ่งแต่ละฉาก แต่ละเหตุการณ์ ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเอียดและน่าติดตาม ชวนให้หวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กที่เคยตื่นเต้นไปกับการ์ตูนเรื่องนี้ ยิ่งตอนที่โกคูใช้บอลเกงกิปราบฟรีเซอร์ในร่างสุดท้ายเป็นอะไรที่อลังกาลมาก พร้อมกับเสียงประกอบอันทรงพลัง บอกเลยว่าขนลุกซู่ เหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของดราก้อนบอลจริงๆ! ผมจำได้ว่าตอนนั้น ถึงแม้จะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี เพราะตัวเกมมีการใช้ภาพประกอบ และคัทซีนต่างๆ มาช่วยเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกได้ว่า เป็นเกมที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบการ์ดสุดล้ำ เสริมความมันส์ในการต่อสู้! หัวใจหลักของ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza ที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมดราก้อนบอลเกมอื่นๆ ในยุคนั้น ก็คือ "ระบบการ์ด" ซึ่งเป็นระบบที่เพิ่มมิติใหม่ให้กับการต่อสู้แบบ Turn-Based โดยก่อนเริ่มการต่อสู้ เราจะต้องจัดเด็คการ์ดตัวละคร ซึ่งแต่ละใบก็จะมีท่าไม้ตายต่างๆ ของตัวละครนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น พลังคลื่นเต่าของโกคู พลังคลื่นแสงพิฆาตของโกฮัง ซึ่งมีความเท่สุดอลังการในทุกๆ ท่า และการ์ดแต่ละใบก็ยังมีความแตกต่างกันทั้งค่าพลังโจมตี ค่าพลังป้องกัน และเงื่อนไขในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราต้องวางแผนในการใช้การ์ดแต่ละใบให้ดี เพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งผมจำได้ว่า สมัยก่อน เวลาได้การ์ดท่าไม้ตายใหม่ๆ มา นี่ดีใจสุดๆ รีบเอาไปลองใช้ รู้สึกเหมือนตัวเองเก่งขึ้น เทพขึ้น สามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย (แต่เอาเข้าจริงก็แพ้อยู่ดี 555+) นอกจากนี้ ระบบการ์ดยังทำให้การต่อสู้มีความหลากหลาย และไม่น่าเบื่อ เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยน และทดลองการ์ดต่างๆ ได้ตามใจชอบ กราฟิก 8-bit สุดคลาสสิค ที่ยังคงความสวยงาม แม้ว่าจะเป็นเกมในยุค 8-bit แต่กราฟิกของ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza ก็ถือว่าทำออกมาได้สวยงามเกินมาตรฐานในยุคนั้น ตัวละครต่างๆ ถูกออกแบบมาได้อย่างน่ารัก มีเอกลักษณ์ ฉากต่อสู้ก็ดูอลังการ เอฟเฟคต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะฉากยิงพลังคลื่นหมัดพร้อมหมัดจอมเทพ 20 เท่า ที่ตัวผมในตอนเด็กๆ นั้นเห็นแล้วถึงกลับ อ้าปากค้าง! เท่สุดๆ ส่วนเสียงประกอบก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพลงธีม เสียงเอฟเฟคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงปล่อยพลังคลื่นเต่า เสียงระเบิด เสียงตัวละครร้อง ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่น และทำให้เรารู้สึกอินไปกับเกมได้มากยิ่งขึ้น ผมจำได้ว่า ตอนนั้นชอบเปิดเสียงเกมดังๆ แล้วก็เล่นไป โยกหัวไปตามจังหวะเพลง สนุกสุดๆ! ระบบ "สำรวจ" ที่ชวนให้หลงใหลในโลกของดราก้อนบอล อีกหนึ่งเสน่ห์ของ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza ก็คือระบบ "สำรวจ" ที่ให้เราได้เดินสำรวจ และผจญภัยไปในโลกของดราก้อนบอล ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางในดาวนาเม็ก การบินไปยังสถานที่ต่างๆ การพูดคุยกับตัวละคร NPC การค้นหาไอเทมต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในเกม ซึ่งระบบนี้ ทำให้เราได้สัมผัสกับโลกของดราก้อนบอลอย่างแท้จริง และทำให้เราหลงรักเกมนี้มากยิ่งขึ้น ผมจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ชอบใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินสำรวจ หาไอเทมลับ และพูดคุยกับตัวละครต่างๆ รู้สึกเหมือนตัวเองได้เข้าไปอยู่ในโลกของดราก้อนบอลจริงๆ ความทรงจำในวัยเด็ก ที่แสนมีค่า ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ต้องอ้อนวอนขอเงินพ่อกับแม่ กว่าจะได้ซื้อตลับเกม Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza มาเล่น ตอนนั้นตื่นเต้นมาก รีบวิ่งแจ้นกลับบ้านไปเปิดเครื่อง Famicom เล่นทันที เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็น จนลืมกินข้าว ลืมอาบน้ำ (แม่ต้องมาตามหลายรอบ กว่าจะยอมวางจอย) แต่สิ่งที่ผมจำได้ไม่ลืมเลยก็คือ ความยากของเกมนี้! โดยเฉพาะตอนที่ต้องสู้กับฟรีเซอร์ ตายแล้วตายอีก เล่นเอาปาจอยแทบพัง (โชคดีที่ไม่พังจริงๆ ไม่งั้นโดนพ่อตีแน่) แต่ในที่สุด ด้วยความพยายาม ความอดทน และการฝึกฝน (รวมถึงการดูคู่มือบทสรุปในหนังสือเกม) ผมก็สามารถเอาชนะฟรีเซอร์ได้สำเร็จ! ความรู้สึกตอนนั้นมันแบบ... โคตรดีใจ! เหมือนตัวเองเป็นโกคูจริงๆ ที่สามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดได้ และแน่นอนว่า หลังจากจบเกมแล้ว ผมก็ยังคงเล่นเกมนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้เบื่อ เพราะมันเป็นเกมที่มอบความสุข และความทรงจำที่ดีที่สุดให้กับผม บทสรุปของตำนาน ที่ยังคงอยู่ในใจ Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza คือเกมในตำนานที่แฟนๆ ดราก้อนบอลไม่ควรพลาด ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ กราฟิกและเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยม ระบบ "สำรวจ" ที่น่าหลงใหล รวมถึงความทรงจำในวัยเด็กที่แสนประทับใจ ทำให้เกมนี้เป็นมากกว่าแค่เกม แต่เป็นเหมือน "เพื่อน" "พี่น้อง" ที่ร่วมเดินทาง ผจญภัยไปกับเราในโลกของดราก้อนบอล ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเกมดราก้อนบอลออกมาใหม่ๆ มากมาย ภาพสวย ระบบอลังการ แต่สำหรับผมแล้ว Dragon Ball Z II: Gekishin Freeza ยังคงเป็น "ที่สุด" เสมอ เป็นเกมที่ผมจะไม่มีวันลืม และจะเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !