SAPPE โบรกฯ หั่นกำไร-เป้าหมาย แนวโน้ม Q3/67 ชะลอกว่าที่คาด
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ หุ้นบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE คาดกำไรปกติ Q3/67 จะลดลง q-q และ y-y ชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาด และยังมีความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับการฟื้นตัวของรายได้ในปี 2568 ในขณะที่ SAPPE กำลังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานใหม่ ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2568 และราคาเป้าหมายลงเป็น 80 บาท
กำไร Q3/67 อาจอ่อนแอกว่าคาด ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปกติ Q3/67 อยู่ที่ 269 ลบ. (-33% q-q, -17% y-y) ชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาด เนื่องจาก 1) รายได้จากอินโดนีเซียน่าจะลดลงตามปัจจัยด้านฤดูกาลและการเปลี่ยนผู้บริหารของตัวแทนจัดจำหน่าย 2) ตะวันออกกลางกำลังได้รับผลกระทบจากการปิดท่าเรือที่ยืดเยื้ออันเป็นผลจากสงคราม 3) รายได้ในยุโรปน่าจะลดลงหลังลูกค้าตุนสินค้าเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงก่อนหน้าและอากาศในปีนี้เย็นกว่าปกติ และ 4) ค่าเงินบาทแข็งค่า จึงคาดว่ารายได้จะลดลง 23% q-q และ 8% y-y ผิดไปจากที่เคยคาดว่าจะโต y-y
คาดอัตรากำไรจะลดลงตามรายได้ จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและคาดอัตราการใช้กำลังการผลิตใน Q3/67 จะลดลงเหลือ 65% จาก 74% ใน Q2/67 ซึ่งทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเหลือ 45% จาก 47.1% ใน Q2/67 และ 46.2% ใน Q3/66 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารน่าจะทรงตัวในระดับสูงจากต้นทุนการตลาดในต่างประเทศที่เริ่มตั้งแต่ Q2/67 และจากรายได้ที่คาดว่าจะลดลง สัดส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายจึงน่าจะเพิ่มเป็น 27.2% จาก 25% ใน Q2/67 และ 23.4% ใน Q3/66 นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยยังคาดว่าจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากสัญญาป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า จึงคาดกำไรสุทธิ Q3/67 จะอยู่ที่281 ลบ. (-32% q-q, -12% y-y)
ความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับการฟื้นตัวปี 68 กำไร Q3/67 มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่เคยคาด ในขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรปกติ Q4/67 อาจกลับมาโต q-q เนื่องจากคำสั่งซื้อทยอยกลับมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง ฝ่ายวิจัยคาดว่าท่าเรือจะกลับมาเปิดอีกครั้งตอนปลาย Q4 เพื่อรองรับการนำเข้าก่อนเทศกาลรอมฎอนในเดือน มี.ค.2568 อย่างไรก็ดียังมีความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดอินโดนีเซียจากการเปลี่ยนผู้บริหารของผู้จัดจำหน่ายรายเดียวในประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ SAPPE กำลังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานใหม่โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในกลางปี 2568 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนที่ 1.63 พันลบ. กรณีรับรู้ค่าเสื่อมเป็นเวลา 6 เดือนตัวเลขดังกล่าวจะกระทบอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2568 อยู่ 0.7%
ปรับลดประมาณการและราคาเป้าหมาย ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 25685 ลง 4.4% เป็น 1.37 พันลบ. คิดเป็นการเติบโตเพียง 3% y-y โดยมีสมมติฐานจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ลดลง อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท/USD และรวมค่าเสื่อมของโรงงานใหม่ ฝ่ายวิจัยปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2568 ที่ 80 บาทหลังปรับค่า P/E เป็น 18x (จาก 22x) สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยในอดีตและสะท้อนสมมติฐานการเติบโตของกำไรที่ลดลงของฝ่ายวิจัย อย่างไรก็ดีหุ้นยังมี Upside 18% จึงคงเรทติ้งเป็น ซื้อ แต่ระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยหนุนราคาหุ้น