พิพิธภัณฑ์ในสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีสแกน 3D สร้าง “กะโหลกจระเข้กินไดโนเสาร์”

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งไอดาโฮ Idaho Museum of Natural History หรือ IMNH ในรัฐไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา เปิดตัวแบบจำลอง “กะโหลกจระเข้กินไดโนเสาร์” อายุราว 100 ล้านปี ถูกสร้างใหม่ด้วยเทคโนโลยี 3D ที่สมจริง

“จระเข้กินไดโนเสาร์” นักล่าระดับท็อปแห่งยุคครีเทเชียส

จากการค้นพบ “ฟอสซิลซากกะโหลก” ในครั้งนี้ นักวิจัยเผยว่า ฟอสซิลกะโหลกดังกล่าวมีความยาวกว่า 1 เมตร คาดว่าเป็นของจระเข้สายพันธุ์โบราณที่ยังไม่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ แต่มีความใกล้เคียงกับ Deltasuchus จระเข้กินเนื้อขนาดใหญ่ที่เคยถูกค้นพบในรัฐเทกซัส

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า จระเข้ชนิดนี้เคยอาศัยอยู่ในภูมิภาคไอดาโฮเมื่อกว่า 100 ล้านปีก่อน และอาจเป็นหนึ่งในนักล่าชั้นสูงของยุคนั้น ที่สามารถล่าเหยื่อได้แม้กระทั่ง ไดโนเสาร์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

ฟื้นชีวิตจากอดีตด้วยเทคโนโลยี 3D Scanning

เพื่อให้ผู้ชมสามารถสัมผัสประสบการณ์ได้ใกล้ชิดที่สุด ทีมวิจัยของ IMNH ได้ใช้เทคโนโลยี 3D Scanning และ 3D Printing ในการสแกนซากกะโหลกจริง แล้วสร้างเป็นแบบจำลองดิจิทัลความละเอียดสูง ก่อนพิมพ์ออกมาเป็นโครงสร้างจำลองขนาดเท่าของจริง

เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษารายละเอียดทางกายวิภาค เช่น รูปแบบของฟัน ขากรรไกร และโครงสร้างสมองของจระเข้ยุคโบราณได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ผ่านมุมมองใหม่ ๆ

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Fall Fossil Fest 2025

พิพิธภัณฑ์ IMNH ได้จัดงานเปิดตัวในธีม “Croc-n-Roll” ภายในเทศกาล Fall Fossil Fest 2025 ซึ่งรวมกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์สุดน่าสนใจ เช่น

• การสาธิตการ สแกน 3D ฟอสซิลจริง

• นิทรรศการจำลองระบบนิเวศยุคครีเทเชียส

• การเสวนากับนักบรรพชีวินวิทยา

• โซนหุ่นจำลองจระเข้และไดโนเสาร์

งานนี้กลายเป็นกระแสไวรัลในสหรัฐฯ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาผสานกับฟอสซิลจริง เพื่อให้ผู้ชม “เห็นหน้า” ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยมีอยู่จริงในอดีตได้อย่างน่าสนใจ

การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยไขปริศนาวิวัฒนาการของจระเข้ยุคแรก ๆ แต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในยุคครีเทเชียสตอนต้น ที่ระบบนิเวศเต็มไปด้วยการต่อสู้ของสัตว์นักล่าหลากหลายชนิด การใช้เทคโนโลยี 3D Modeling ยังช่วยอนุรักษ์ฟอสซิลให้ปลอดภัยจากการเสื่อมสภาพ และเปิดโอกาสให้พิพิธภัณฑ์ทั่วโลกสามารถนำข้อมูลจำลองไปใช้เพื่อการศึกษาและจัดแสดงได้อีกด้วย

แหล่งที่มา  : interestingengineering.com/