ถ้าให้หมอด้านกายวิภาคศาสตร์ เอามีดมาชำแหละร่างกายของเรา แยกร่างกายออกเป็นอวัยวะต่างๆ นำมาแยกไว้เป็นสัดส่วน กระดูก เนื้อเยื่อ น้ำเลือด น้ำดี ขน ผม เล็บ ฟัน หนังฯ แล้วแยกย่อยลงไปอีกให้เล็กไปเรื่อย ๆ จะได้อะไรเป็นในที่สุด ตัวเราที่เป็นตัวตนของเรายังมีอยู่หรือไม่ความจริงแท้(the real) ตัวเราเป็น " อนัตตา " อนัตตาในปรมัตถสัจจะ แปลว่าไม่มีตัวตน แต่ในทางสมมุติสัจจะนั้นถือว่ามีตัวตน แต่ก็ไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริง คือ เป็นตัวตนตามที่ประกอบขึ้นด้วยสิ่งต่าง ๆ เป็นฝ่ายรูป 1 กอง ฝ่ายนาม 4 กอง เป็นรูปกับนามเรียกว่าขันธ์ 5 (ขันธ์ แปลว่ากอง) นี่เป็นการแบ่งแยกทางธรรมะ ส่วนทางวิทยาศาสตร์นั้น ทั้งรูปและนามล้วนไม่ได้มีอยู่จริงเช่นกัน เพราะรูปนั้นถ้าแบ่งแยกย่อยให้เล็กลงไปเรื่อย ๆ แยกย่อยออกจากร่างกาย ก็จะกลายเป็นอวัยวะ อวัยวะต่าง ๆ ก็ประกอบขึ้นด้วยเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อนั้นประกอบขึ้นด้วยเซลล์ที่เป็นหน่วยโครงสร้างของชีวิต ในแต่ละเซลล์ประกอบขึ้นด้วยกลุ่มของโมเลกุล ซึ่งโมเลกุลนั้นประกอบขึ้นจากการจับกันของอะตอม 2 อะตอมขึ้นไป ภายในอะตอม ก็จะเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง ในนิวเคลียสก็ประกอบด้วย โปรตอนและนิวตรอน โดยมีอิเล็กตรอนจับคู่วิ่งวนอยู่รอบ ๆ นิวเคลียส แต่เมื่อแยกย่อยลงไปอีก ก็จะพบควาร์ก (quark) ซึ่งเป็นอนุภาคพื้นฐานเล็กกระจิ๋วหลิวอยู่ในโปรตอน ซึ่งตอนนี้พบแล้วถึง 6 ชนิดเมื่อทำการค้นหาลึกลงไปอีก ก็สันนิษฐานว่าเป็นเพียงการสั่นของเส้นพลังงานเล็ก ๆ (การสั่นของเส้นพลังงาน มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ภาคพระอภิธรรม) และตามทฤษฎีสตริงซึ่งเป็นฟิสิกส์ใหม่ในระดับควอนตัมนั้น สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไร นอกไปจากการสั่นของคลื่นพลังงานเล็ก ๆ และยังเป็นคลื่นที่มีความน่าจะเป็น ยังไม่แน่ชัดอีกด้วย จึงเข้าใกล้สุญญตาในพุทธธรรม คือความว่างเข้าไปทุกขณะ การสั่นลักษณะต่างๆกันนั้นก็จะทำให้ปรากฏออกมาเป็นคลื่น เป็นอนุภาคต่างๆกัน ซึ่งต่อมาก็รวมตัวเกาะกลุ่มกันอะตอม เป็นสสารที่ตาของเรามองเห็น ฉะนั้นตัวเราก็เหมือนกัน ร่างกายของเราเป็นเพียงกลุ่มพลังงานที่อัดแน่นจนเห็นเป็นรูป มีการสั่นสะเทือนผันแปรไปเรื่อยไป ธาตุทั้ง 4 คือดินน้ำลมไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของมนุษย์นั้น แท้ที่จริงคือร่างกายเราเป็นเพียงก้อนพลังงาน ที่เมื่อเกาะกันแน่นกลายเป็นสสาร เปลี่ยนจากคุณสมบัติดั้งเดิมมาเป็นรูปชั่วคราวให้เราสัมผัสได้ เราก็นึกว่ามีอยู่จริง และเมื่อเราตาย ร่างกายก็จะแตกสลายกลายเป็นพลังงานเช่นเดิม เพราะพลังงานเกิดจากสสารที่หายไปพลังงานจึงไม่สูญหายไปจากจักรวาล เพียงแต่เปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนที่อยู่ มีความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง มีลักษณะหมุนวนเปลี่ยนรูปถ่ายเทไปมาระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเมื่ออะตอมของไฮโดรเจนกับออกซิเจนรวมตัวกันเป็นน้ำแล้วเราดื่มเข้าไปสู่ร่างกายเรา อะตอมของธาตุทั้งสองก็จะถูกขับออกมาทางเหงื่อ อุจจาระหรือปัสสาวะ เมื่อถูกความร้อนก็จะระเหยเป็นไอขึ้นไปในอากาศ แล้วควบแน่นเป็นหยดน้ำ กลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนก็จะไหลลงแอ่งน้ำ หรือไหลลงในตุ่ม ลงในกาน้ำร้อน แล้วลงในถ้วยกาแฟ เราดื่มกลับเข้าไปในร่างกายของเรา ร่างกายก็ขับออกมาอีก หมุนวนกันอยู่อย่างนี้ ไม่หายไปไหนอะตอม ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของเราก็คือ อะตอมที่รีไซเคิลใหม่จากอะตอมของสิ่งอื่นๆแล้วทั้งสิ้น ในเราจึงมีผู้อื่นและในผู้อื่นก็มีเราอยู่ด้วย เราทุกคนจึงมีที่มาจากที่เดียวกัน มีอยู่เป็นอยู่และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันทั้งสิ้นอวิชชาตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์หลงผิด คิดเอาเองว่าตนมีตัวตนเป็นของตนแท้ๆ หากมนุษย์ทุกผู้ทุกนามหันมาพิจารณาใส่ใจให้รู้อย่างถ่องแท้แล้ว ความยึดมั่นในตัวตน หรืออัตตวาทุปาทาน อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ความยึดติด ความอาลัยยินดี และปัญหาต่างๆก็จะลดน้อยไปจากชีวิต เลิกยึดมั่นในตัวกูของกูลงเสียได้ เพราะในเมื่อตัวตนของเรายังไม่มี แล้วทรัพย์สิน ลูกเมีย ยศ ตำแหน่ง สิ่งที่รักที่ชัง และอะไรอีกมากมายของตนก็จะมาจากไหน เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนเกิดขึ้นมาจากการสร้างสรรค์ของจิต แล้วไปอุปาทานว่ามันมีอยู่มันเป็นอยู่ ถ้าไม่มีมนุษย์ ไม่มีจิตรับรู้ จักรวาลก็จะมีขึ้นมาไม่ได้ เรามาดูง่ายๆว่า ตอนที่เรานอนหลับสนิท ทุกสิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเราและที่เรารู้จัก เราจำได้หมายรู้ ก็หายไปหมดอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรแม้แต่ร่างกายของเรา เรามาหลงว่ามีอีกครั้งก็ต่อเมื่อเราตื่นขึ้นมา จิตเราจึงได้ยึดเอาบ้าน รถ ลูกเมีย ยศถาบรรดาศักดิ์และอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อตกกลางคืนเราหลับอีก ทุกอย่างก็หายไปอีก และถ้าเราหลับแล้วไม่ตื่น ทุกสิ่งก็จะไม่เคยมีอยู่จริงสำหรับเรา ถ้าคนเรามีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 75 ปี ในทุกๆวันถ้าเราใช้เวลานอนหลับไปเพียงวันละ 5 ชั่วโมง เราต้องนอนหลับไปทั้งหมดรวมกันตลอดชีวิต ประมาณ 15 ปี ทุกๆสิ่งที่เราครอบครอง และยึดเอาว่าเป็นของตนนั้น ก็จะมีเพียง 60 ปี เท่านั้น ที่หลับไปรวมกัน15 ปีนั้นเราไม่มีตัวตน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีตำแหน่งลาภยศ ลูกเมีย ญาติสนิทมิตรสหาย และศัตรูคู่เวรใดๆในความฝันของเราตอนหลับสนิท ตัวเราไม่ได้ออกไปไหน ร่างกายเรานอนอยู่บนเตียง ในฝันนั้นเราก็ได้ยินเสียง ได้เห็นภาพ มีการสัมผัส มีอารมณ์ต่าง ๆ มีสิ่งของสถานที่ บุคคล เหมือน ๆ กันกับตอนที่เราตื่น เพียงแต่เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราอาจจะจำได้เพียงราง ๆ เพราะเป็นการทำงานของระบบประสาทในสมอง หากว่าเราไม่ตื่นและกลายเป็นเจ้าชายนิทรา โลกเดิมจะหายไป และจะทำให้เราเชื่อว่า โลกในความฝันนั่นแหละ คือโลกแห่งความจริงเหมือนกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า ในโลกในชีวิตที่เรามีอยู่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อาจจะไม่ได้มีอะไรจริง แต่เป็นเพียงความฝันยาวนานก็เป็นได้ ตอนเราหลับอาจเป็นชีวิตจริงในระยะสั้น ตอนเราตื่นอาจเป็นความฝันระยะยาวก็ได้ ใครจะไปรู้"ความจริงที่เห็น เป็นเพียงภาพมายา เพียงแต่เป็นภาพมายา ที่คงอยู่นานหน่อยเท่านั้น" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขียนโดย พระยมอมยิ้มภาพปกOld Man ภาพถ่ายโดย Thgusstavo Santana จาก PexelsภาพปกInfant และ Young Man ภาพถ่ายโดยผู้เขียนภาพประกอบที่ 1 ภาพถ่ายโดย Vidal Balielo Jr. จาก Pexelsภาพประกอบที่ 2 ภาพถ่ายโดย RF._.studio จาก Pexelsภาพประกอบที่ 3 ภาพถ่ายโดย Max Vakhtbovych จาก Pexelsภาพประกอบที่ 4 และ 5 ภาพถ่ายโดยผู้เขียนขอบคุณที่อ่านบทความของพระยมอมยิ้มครับFacebook : Ajarn.JarunCorrectYoutube : youtubeอัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !