โลกร้อนทะลุ 1.5°C แล้ว! ทำระบบนิเวศสั่นคลอนหนัก

ปี 2024 นับเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก พุ่งเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม ตัวเลขที่เปรียบเสมือน “เส้นแดง” ตามข้อตกลงปารีสที่ประเทศทั่วโลกให้คำมั่นว่าจะไม่ให้เกิน นักวิทยาศาสตร์ยืนยันในเดือนมกราคม 2025 ว่า โลกได้ก้าวข้ามจุดนั้นอย่างเป็นทางการแล้ว
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยืนยันข้อมูลหลังตรวจสอบจากหลายหน่วยงานชั้นนำทั้งในสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป โดยระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 2024 สูงกว่า 1.6 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงปี 1850–1900 ซึ่งเป็นยุคก่อนเริ่มมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแพร่หลาย และ 10 ปีที่ผ่านมา คือ 10 ปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกมา
งานวิจัยใหม่ในวารสาร Nature Geoscience ยังเสนอว่า หากขยายช่วง “ยุคก่อนอุตสาหกรรม” ย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ. 13–1700 ระดับความร้อนในปี 2023 จะสูงถึง 1.49 องศาเซลเซียส — หมายความว่าโลกแทบจะก้าวข้ามเส้น 1.5 องศามาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วด้วยซ้ำ
มหาสมุทรกำลังเปลี่ยนแปลง ระบบหมุนเวียนกระแสน้ำอาจใกล้ล่มสลาย
ความร้อนที่สะสมในมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังส่งผลร้ายแรงกว่าที่คิด นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ระบบกระแสน้ำอุ่น “AMOC” (Atlantic Meridional Overturning Circulation) ซึ่งมีบทบาทในการพยุงสภาพอากาศอบอุ่นของยุโรปมายาวนาน อาจกำลัง “ชะงัก” หรือใกล้ล่มสลาย ข้อมูลวิจัยเมื่อปี 2018 ระบุว่า AMOC อ่อนกำลังลงไปแล้วกว่า 15% ตั้งแต่ปี 1950 และงานวิจัยล่าสุดในวารสาร Science Advances (กุมภาพันธ์ 2024) ชี้ว่า มันอาจใกล้เข้าสู่ภาวะชะลอตัวขั้นวิกฤตเร็วกว่าที่คาด หากระบบนี้หยุดทำงาน ยุโรปอาจเผชิญฤดูหนาวที่หนาวจัดที่สุดในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ โลกยังเผชิญ การฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ครั้งที่ 4 แล้ว และมีแนวโน้มว่าแนวปะการังหลายแห่งอาจ “ไม่สามารถฟื้นคืนได้อีกต่อไป” นักวิทยาศาสตร์เตรียมเฝ้าติดตามการฟื้นตัวของปะการังจากออสเตรเลียถึงบราซิลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิโลกไม่ลดลง
พายุและฝนสุดขั้วถี่ขึ้นและแรงขึ้น
มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นกำลังสร้างพายุที่รุนแรงและทวีกำลังเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน พายุหลายลูกเปลี่ยนจากพายุระดับ 1 ไปเป็นระดับ 3 ภายในไม่กี่ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น “เฮอริเคนมิลตัน” ในเดือนตุลาคม 2024 ที่กลายเป็น พายุรุนแรงอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์อ่าวเม็กซิโกภายในเวลาเพียงวันเดียว ก่อนขึ้นฝั่งถล่มฟลอริดา
อากาศที่อุ่นขึ้นยังสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากกว่าเดิม ทำให้ฝนที่ตกจากพายุเหล่านี้ “ตกหนักและกินเวลานานขึ้น” เช่น เมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักจากพายุเฮอริเคนเฮเลนในเดือนกันยายน 2024 ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขา
ป่าไม้ทั่วโลกกำลังหายใจไม่ออก
โลกร้อนที่ยืดเยื้อทำให้แม่น้ำเหือดแห้ง ความชื้นในป่าลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของ “ไฟป่าขนาดใหญ่” ทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐฯ แคนาดา ยุโรปตอนใต้ ไปจนถึงรัสเซียตะวันออก อย่างป่าแอมะซอนของบราซิลในปี 2024 ก็ประสบภัยแล้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1950 ระดับน้ำในแม่น้ำลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ไฟป่ากลืนกินพื้นที่ป่าฝนขนาดใหญ่หลายหมื่นตารางกิโลเมตร
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป ป่าแอมะซอนอาจถึงจุด “พลิกกลับไม่ได้” (tipping point) ภายในปี 2050 เมื่อระบบนิเวศไม่สามารถผลิตความชื้นเลี้ยงตัวเองได้อีกต่อไป ป่าฝนอาจเปลี่ยนสภาพกลายเป็นป่าทุ่งแห้งแล้งหรือสะวันนา
งานวิจัยอีกฉบับในปี 2024 ยังพบว่า ป่าไม้ทั่วโลกดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากผลของภัยแล้งในแอมะซอนและไฟป่าขนาดใหญ่ในแคนาดา ทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้แต่ ทุนดราอาร์กติก ซึ่งเคยเป็น “แหล่งกักเก็บคาร์บอน” มานานนับพันปี ก็เริ่มกลายเป็น “แหล่งปล่อยคาร์บอน” แล้ว หลังจากไฟป่าที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จุดที่ไม่อาจย้อนกลับ
“ทุกเศษเสี้ยวของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้นอย่างทวีคูณ” ศาสตราจารย์โจเอรี โรเฮลจ์ จาก Imperial College London กล่าวเตือน โดยเฉพาะช่วงระหว่าง 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นขอบเขตที่ผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะเปลี่ยนจาก “รุนแรง” ไปสู่ “ย้อนกลับไม่ได้” ผลกระทบเหล่านั้นรวมถึง การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก การล่มสลายของระบบนิเวศ และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายศตวรรษ แม้โลกจะหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในวันนี้ก็ตาม “ถึงเราหยุดโลกร้อนในตอนนี้ได้ ระดับน้ำทะเลก็ยังจะคงสูงขึ้นต่อไปอีกหลายร้อยปี” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจอยู่ในมือของมนุษยชาติ ว่าเราจะหยุดมันไว้ที่ระดับใด เพื่อยังคงรักษาชายฝั่งบางส่วนของโลกไว้