ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยในยุคนี้ ไม่ได้ทำงานเป็นพนักงาน หรือรับจ้างทำงานทั้งในบริษัทใหญ่ๆหรือบริษัทเล็กๆ คนเหล่านี้ ทำงานด้วยตัวเอง โดยอาจจะไม่ได้ตั้งเป็นบริษัท หรือ รูปแบบธุรกิจใดๆ แต่สามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี มีรายได้มากกว่า คนที่ทำงานบริษัทหลายเท่าตัว โดยไม่ต้องยอมทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ หรือไม่ถนัด เพื่อแลกกับรายได้ที่ไม่พอเลี้ยงปากท้อง หรือสร้างอนาคตให้ตัวเอง แต่ใช้ความสามารถ ความถนัด หรือแม้แต่ความสนใจส่วนตัว นำเสนอ Content ในรูปแบบต่างๆ โดยตรงถึงผู้บริโภค และกับรายได้จากโฆษณา และการตลาดที่ตามมาเทคโนโลยีทันสมัย ในราคาที่ถูกลง ทำให้พวกเขาใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการทำมาหากิน มีการประเมินกันว่า ทุกวันนี้มีคนกว่า 50 ล้านคน ที่ทำมาหากิน ในรูปแบบนี้ รูปแบบที่เรียกกันว่า Creator บางคนเป็น Youtuber เป็น Vlogger เป็น PodCaster เป็น Web Content Creator เป็น Social Media Creator ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีแฟนในสื่อของตัวเองหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน จนถึงหลายสิบล้าน ร้อยล้านคนคนเหล่านี้ มีผู้ติดตามเป็นแฟนประจำมากกว่า ดาราจำนวนมาก มากกว่านักการเมือง หรือผู้นำประเทศส่วนมากเสียอีก และเป็นผู้ที่มีบทบาท ต่อความรู้สึก นึกคิด อารมณ์เหตุผล รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนที่ติดตามพวกเขา ประเมินกันว่า มีเงินหมุนเวียนในระบบ Creator Economy หลายล้านๆ เหรียญสหรัฐ เป็นวงจรเศรษฐกิจขนาดมหึมา อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ภาพจาก. Andrew Neel / Pexels.comเป็นเวลานานหลายทศวรรษแล้วที่ "สื่อยักษ์ใหญ่" เป็นผู้ครองโลกแห่งความบันเทิงและข่าวสารอันกว้างใหญ่. มีองค์กร หรือบริษัท เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ควบคุมข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง ที่คนหลายพันล้านคนทั่วโลกเสพย์ ทั้งในรูปแบบของการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ การดูโทรทัศน์ การดูภาพยนต์ การฟังเพลง และการฟังข่าวทางวิทยุการที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีตัวตนเด่นชัด หรือมีบทบาทในสื่อชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ (ไม่ว่า จะเป็นดารายอดนิยม หรือ เป็นแหล่งข่าวที่มีชื่อเสียง) เราต้องได้รับความสนใจ หรือว่าจ้าง รวมทั้งการสนับสนุนส่งเสริม จากบรรดาสื่อยักษ์ใหญ่ในวงการ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นคนที่มีเรื่องราว ที่มีความสำคัญมากพอ ในสายตาของสื่อเหล่านั้น ที่จะนำเรื่องราวเหล่านั้น ไปนำเสนอในอาณาจักรสื่อของพวกเขายิ่งกว่านั้น ผู้บริโภคสื่ออย่างเรา ก็ถูกกำหนดให้ต้องดูรายการโทรทัศน์ ฟังวิทยุกระจายเสียงตามตาราง หรือผังรายการ ที่ใครไม่รู้เป็นผู้กำหนด อ่านข่าว หรือบทความในหนังสือพิมพ์ ที่นักข่าวเขียน ภายใต้การกำกับ หรือสั่งการของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ และนิตยสารจากสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ หรือใช้เวลาช่วงค่ำในโรงภาพยนตร์ ดูภาพยนตร์ที่จัดจำหน่ายโดยผู้ผลิตที่มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นแต่เมื่อถึงยุคที่ "อินเตอร์เน็ต" เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เราพบว่า สื่อไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้น แต่ได้กระจายตัวออกไปกว้างขวาง เราพบว่า เนื้อหาในรูปแบบต่างๆ กระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง ที่น่าสนใจคือ ผู้ผลิตเนื้อหาที่น่าสนใจเหล่านั้น ไม่ใช่สื่อ หรือผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ ที่เ่คยครองครองอาณาจักรข่าวสารมาเป็นเวลานาน แต่เป็นคนตัวเล็กๆ ในสังคมจำนวนมาก อย่างเราๆ ท่านๆ ที่ผลิตสือในรูปแบบต่างๆ ที่มีคนติดตามนับล้านๆ สิบล้าน หรือร้อยล้านคนเป็นยุคที่ Don TapScott เคยทำนายไว้ในหนังสือ The Digital Economy (1994) เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วว่า ยุคของสื่อมวลชน Mass Media จะจบลง และมีสื่อใหม่ที่เรียกว่า สื่อโมเลกุล หรือ Molecular Media เข้ามาแทนที่ ตอนนี้ ยุคนั้นได้มาถึงแล้ว ภาพจาก Amazon.Comเมื่อมองในแง่ของระบบเศรษฐกิจ โลกก็ได้เปลี่ยนจากศตวรรษแห่งโลกอุตสาหกรรม Industrial Economy ที่มีการระบบผลิตทันสมัยด้วยเทคโนโลยี แต่ยังมีการรวมศูนย์ทุน อยู่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่ราย คนทั่วไปทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยการผลิต ไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง มาสู่ยุคของผู้บ่ริโภค Consumer Economyหลังจากผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในราวทศวรรษ ที่ 1950 เป็นต้นมา บทบาทของผู้บริโภค มีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ การผลิต รวมทั้งทิศทางของสังคม ภาคบริการ หรือ Service Industry ได้เกิดขึ้นอย่างมากมายในยุคนี้อย่างที่เราเรียกกันง่ายๆว่า กระแสโลกาภิวัฒน์ และเมื่อเกิดอินเตอร์เน็ตขึ้น ความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีนี้ก็ได้พลิกผันให้ เศรษฐกิจยุค Consumer Economy พลิกเข้าสู่ยุค Creator Economy อย่างที่คนจำนวนไม่น้อย ตามไม่ทัน และตกยุคไปกับยุคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(โปรดติดตามตอนต่อไป) ภาพถ่ายโดย. Seej Nguyen / Pexels.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !