อะไรคือสิ่งที่เรารู้จริง สิ่งที่เราไม่รู้ และสิ่งที่เราคิดว่ารู้ดีอยู่แล้ว เพราะบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าถูก..มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ นี่คือหนังสือท้าทายความคิดของผู้คนจนกลายเป็นหนังสือที่ใครๆก็มองว่าอ่านแล้วทำความเข้าใจค่อนข้างยาก โลกของการคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อไม่ให้เราหลงเข้าใจผิดจนกู่ไม่กลับ โดย Adam Grant จะมาท้าทายสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังเข้าใจอยู่ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1. ฝึกคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ หมั่นตรวจสอบความคิดและความเชื่อที่เรามีด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ พร้อมกับยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อดังกล่าว เมื่อค้นพบข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่า ซึ่งนำมาหักล้างได้ 2. ไม่ผูกติดกับความเชื่อหรือมุมมองใดมุมมองหนึ่งมากเกินไป เพราะการยึดติดกับความเชื่อใดมากเกินไป อาจทำให้เกิดอคติทางความคิดตามมา ซึ่งจะทำให้เราหลงเชื่อข้อมูลที่ผิด ๆ และไม่เปิดใจรับข้อมูลอื่นที่อาจถูกต้องกว่า วิธีที่ดี เราควรเปิดรับข้อมูลที่หลากหลาย มีความยืดหยุ่นในการคิด และยินดีทบทวนตัวเองเมื่อค้นพบข้อมูลที่ถูกต้อง 3. เสาะหาข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อของเรา เช่น รับฟังข้อมูลจากคนที่เราไม่เห็นด้วย เพื่อนำมาพิจารณาสิ่งที่เราเชื่อ 4. ระวังติดอยู่บนยอดเขาแห่งความไม่รู้ ปรากฏการณ์ดันนิง-ครูเกอร์ คือการที่คนเรายิ่งมั่นใจในความรู้ตัวเอง มักจะยิ่งประเมินตัวเองสูงเกินจริง จึงยิ่งมีแนวโน้มที่จะหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่ยอมเรียนรู้เพิ่มเติม 5. ใช้ประโยชน์จากความเคลือบแคลงสงสัย เมื่อเราพบว่าตัวเองสงสัยในข้อมูลหรือความคิดใด นั่นหมายความว่าเรากำลังจะได้รับรู้อะไรมากขึ้นเมื่อทำการค้นหาคำตอบ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการเติบโตและเป็นโอกาสที่ดีจะลดระดับความมั่นใจที่ว่าตัวเองรู้ดีครบถ้วนแล้ว 6. จำแนกระดับความสุขจากการคิดผิด อย่ากลัวที่จะหัวเราะใส่ตัวเอง เมื่อค้นพบว่าเราทำผิดพลาดหรือสงสัยอะไรผิด ๆ เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเราได้พบสิ่งใหม่ ๆ และกำลังจะพัฒนา 7. เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากแต่ละคนที่พบเจอ เพราะคนทุกคนย่อมมีความรู้มากกว่าเราในบางเรื่อง จึงเป็นการดีที่เราจะเรียนรู้มุมมองของเรา และเราอาจขอความคิดเห็นจากเงาเกี่ยวกับเรื่องที่เราเชื่อได้อีกด้วย 8. สร้างเครือข่ายกล้าท้าทาย ไม่ใช่เครือข่ายที่เอาแต่สนับสนุน ถึงแม้การมีกองเชียร์จะสำคัญมากก็ตาม แต่การมีคนคอยคัดค้านก็สําคัญไม่แพ้กัน เพราะคนเหล่านั้นจะช่วยให้เราได้เห็นมุมมองหลาก มากขึ้น ทั้งนี้ ควรระวังคนคิดค้านด้วยเจตนาที่จะมุ่งแต่ประสงค์ร้าย 9. อย่าหลีกเลี่ยงการโต้เถียงเชิงสร้างสรรค์ ที่เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย ด้วยเจตนาดี การโต้เถียงลักษณะนี้จะพาเราไปพบกับเหตุผลของคนเห็นต่าง ซึ่งจะช่วยขัดเกลาแนวคิดเราให้เฉียบคมขึ้นได้ 10. ฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะผู้คนมักจะเปิดใจให้กับคนที่รับฟังมากกว่าคนที่เอาแต่พูด เนื่องจากการรับฟังเป็นการแสดงออกถึงความสนใจในผู้อื่น นอกจากนี้ การฟังยังช่วยให้เราค้นพบคำถามที่น่าสนใจเพื่อให้ผู้อื่นนําไปคิดทบทวนความเชื่อหรือเหตุผลของตัวเองอีกด้วย 11. ถามว่า “อย่างไร” แทนที่จะเป็น “ทำไม” เนื่องจากเมื่อถูกถามว่า “ทําไม” ผู้คนจะควานหาเหตุผลมารองรับความคิดเห็นของตัวเอง แต่เมื่อถามว่า “อย่างไร” ผู้คนจะพยายามมองหาวิธีทำให้ความเห็นนั้นเป็นจริงขึ้นมา และพวกเขาก็จะมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น 12. ถามว่า “หลักฐานแบบไหนถึงจะเปลี่ยนความคิดของคุณได้”โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้คนได้ทบทวนความคิดความเชื่อตัวเองใช้ ถามว่า “คุณมีความคิดเห็นแบบนี้ได้อย่างไร” เพื่อให้ผู้คนได้ ย้อนมองถึงที่มาของความคิดตัวเอง และได้ทบทวนตัวเองว่าหากเขาต้องอยู่ในบริบทและสถานการณ์ที่ต่างไป เขาจะยังคงเชื่อแบบเดิมไหม 14. ยอมรับในจุดยืนร่วมกัน มันคือการทำให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะเจรจาบนพื้นฐานความเป็นจริง และกระตุ้นให้อีกฝ่ายมองในมุมของเรา 15. ยิ่งน้อย ยิ่งมาก โดยทั่วไป ผู้คนมักกังขาและปฏิเสธความคิดของเรา เมื่อเราหาเหตุผลมาสนับสนุนมันมากเกินไป (คนอาจมองว่าเรากําลัง “แถ”) เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นด้วยเหตุผลที่มีนํ้าหนักที่สุดเพียงไม่กี่ข้อ จะช่วยให้ความคิดของเราดูน่าที่จะเปิดใจรับฟังมากกว่า 16. ส่งเสริมอิสระในการเลือกหลายครั้งที่ผู้คนไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิเสธ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่พอใจที่ถูก "สั่ง" ทางที่ดีกว่าคือให้อิสระในการเลือกมากขึ้น หรือชี้ให้พวกเขาเห็นข้อดีจากการทำตาม 17. สนทนาเกี่ยวกับการสนทนา เมื่อมีอารมณ์ปะทุในการสนทนาเราควรใช้สติ ชวนอีกฝ่ายพูดคุยเกี่ยวกับการสนทนานี้ว่า อุณหภูมิของมันร้อนไปหรือไม่ ดีกว่าไหม ถ้าจะใจเย็นและคิดทวนเหตุผลอีกที 18.ทำให้ประเด็นที่สนทนาซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการมองเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปริซึมที่มีหลายเฉดสี เพราะโลกนี้ไม่ได้ประกอบไปแค่สีขาวและสีดำเท่านั้น ทุกเรื่องราวย่อมมีมุมมองมากกว่าแค่ด้านที่เราเห็น 19. อย่าหลีกเลี่ยงข้ออ้างของฝ่ายตรงบ้าน การรับฟังเหตุผลของคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ได้ทำให้เราดูน่าเชื่อถือน้อยลงเลย กลับยิ่งทำให้เราดูเป็นคนใจกว้างมากขึ้นและพร้อมที่จะรับฟัง ซึ่งสามารถนำไปสู่การแสวงหาความเห็นร่วมกัน ทำให้ทั้งเขาและเราได้ทบทวนความคิดตัวเอง 20. ขยายขอบเขตอารมณ์ แทนที่จะกักเก็บอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้เพื่อให้การพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น เราสามารถเผยความรู้สึกออกมาในรูปแบบอื่นแทนได้ เช่น ตอนนี้ฉันค่อนข้างสับสน ขอพักสักครู่นะ 21. ถกเถียงกันระหว่างมื้อเย็น ชักชวนเด็ก ๆ ให้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นต่าง ๆ ในเวลาที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน เพื่อฝึกฝนให้เด็ก ๆ ได้ใช้ทักษะการคิดทบทวน และได้ฝึกการรับฟังผู้อื่น 22. ชักชวนให้เด็กวาดแบบร่างหลายแบบและฝึกขอความคิดเห็น ไม่ว่าการตัดสินใจใด ๆ ก็ตาม การฝึกร่างแบบทางเลือกหลากหลายจะไปช่วยกระตุ้นทักษะการคิดทบทวนของเด็ก ส่วนความคิดเห็นที่ได้จากผู้อื่นจะช่วยให้เด็กได้พัฒนาความสามารถตัวเองอย่างต่อเนื่อง 23. เลิกถามเด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เพราะมันอาจทําให้เด็ก ๆยึดติดกับความคิดที่ว่าโตไปจะต้องเป็นอาชีพเดียวเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้เด็กปิดกั้นตัวเองจากความเป็นไปได้อันหลากหลายในวันข้างหน้า 24. เลิกกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เพราะรูปแบบการทํางานตามอุดมคติ อาจลดทอนประสิทธิภาพการคิดทบทวนของพนักงาน ดีกว่าถ้าจะมอบอิสระให้พวกเขาได้หาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะกับตัวเอง 25. สร้างความปลอดภัยทางใจ เริ่มต้นจากผู้นําต้องทําตัวเป็นแบบอย่าง โดยแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตัว รับฟัง และให้โอกาสพนักงานรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำเต็มที่ และได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เมื่อนั้น พนักงานก็จะรู้สึกปลอดภัย พร้อมที่จะกล้าแสดงความเห็นของตัวเอง 26. อย่าประเมินการตัดสินใจด้วยผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว แต่ดูว่าได้พิจารณาตัวเลือกต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจละเอียดครบถ้วนแค่ไหน ถ้าคิดไม่รอบคอบในกระบวนการ แต่ผลออกมาดี แปลว่าเรา “โชคดี” ถ้าคิดรอบคอบในกระบวนการ แต่ผลนั้นไม่ดี แปลว่าเรา “ได้เรียนรู้” 27.โยนแผนระยะ 10 ปีทิ้งไป ซึ่งอาจรวมถึงแผนการ 3 ปี หรือ 5 ปี เพราะสิ่งที่ทำให้เราสนใจในปีที่แล้ว อาจทำให้เราเบื่อหน่ายในปีนี้ หรือความรู้ที่เราคิดว่าใช้ได้ไปอีก 5 ปี อาจใช้ไม่ได้แล้วในปีหน้า ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรยึดติดแผนระยะยาวใดๆ แต่ควรทบทวนตัวเองสม่ำเสมอ 28. ไม่เอาแต่โทษสภาพแวดล้อม คิดถึงการกระทำของตัวเองด้วย เมื่อคนเราย้อนทบทวนถึงความผิดพลาดต่าง ๆ เราอาจจะคิดว่าบริบทและสภาพแวดล้อมเป็นต้นเหตุของทั้งหมด โดยไม่ได้ย้อนมองถึงการกระทำและความคิดของตัวเองเลยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแค่ไหน 29. กำหนดเวลาตรวจทานแผนการชีวิต เหมือนกับตรวจสุขภาพเราควรเช็คเป้าหมายชีวิต, ทัศนคติ, และความเชื่อของเราว่าเป็นยังไง 30. หาเวลาคิดทบทวนนำเวลาที่ใช้ในการลงมือทำหรือการเรียนรู้เปลี่ยนไปเป็นเวลาสําหรับคิดทบทวนสิ่งที่ได้ทำและสิ่งที่ได้เรียนรู้บ้าง เพื่อเราจะค้นพบว่าสิ่งใดที่แก้ให้ดีขึ้นได้ และความรู้ใดที่เปลี่ยนแปลงได้ เครดิตภาพ ภาพปก โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ 15 INVALUABLE LAWS OF GROWTH รีวิวหนังสือ HIDDEN POTENTIAL เมื่อคนธรรมดาจะคว้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โดย Adam Grant รีวิวหนังสือ คู่มือคนทำงานฉบับสมบูรณ์ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานจนขึ้นเป็นซีอีโอ รีวิวหนังสือ ATOMIC HABITS เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น รีวิวหนังสือ THINGS NO ONE TAUGHT US ABOUT LOVE เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !