หลังจากที่เราได้เห็นการเปิดตัวสินค้าของทาง Apple กันมาแล้วเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นสินค้ามากมายทั้ง iPhone 15 หรือจะเป็น Apple Watch ซึ่งครั้งนี้ก็ออกมาทั้งหมด 3 รุ่นหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch Series 9 หรือ Apple Watch Ultra 2 และ Apple Watch SE ในบทความของ TamKung วันนี้เราจะมารีวิวสเปก Apple Watch Series 9 ทั้ง 3 รุ่น เหมาะกับใคร มีความโดดเด่นในด้านไหนบ้างสเปก Apple Watch Series 9ขนาดของตัวเครื่องที่ 45 มม. หรือ 41 มม.วัสดุอะลูมิเนียมหรือสแตนเลสสตีลจอภาพ Retina พร้อมฟีเจอร์ Always-on Display ความสว่างสูงสุด 2,000 nitชิปประมวลผล SiP รุ่น S9รองรับฟีเจอร์ ECG และตรวจออกซิเจนในเลือดการติดตามค่าอุณหภูมิทนน้ำลึก 50 ม. กันน้าขณะว่ายน้ำสเปก Apple Watch Ultra 2ขนาดของตัวเครื่องที่ 49 มม.วัสดุไทเทเนียมจอภาพ Retina พร้อมฟีเจอร์ Always-on Display ความสว่างสูงสุด 3,000 nitชิปประมวลผล SiP รุ่น S9รองรับฟีเจอร์ ECG และตรวจออกซิเจนในเลือดการติดตามค่าอุณหภูมิทนน้ำลึก 100 ม. กันน้าขณะว่ายน้ำสเปก Apple Watch SEขนาดของตัวเครื่องที่ 44 มม. หรือ 40 มม.วัสดุอะลูมิเนียมจอภาพ Retina ความสว่างสูงสุด 2,000 nitชิปประมวลผล SiP รุ่น S8รองรับฟีเจอร์ การแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจเร็วและช้าการติดตามค่าอุณหภูมิทนน้ำลึก 50 ม. กันน้าขณะว่ายน้ำใช้งานสูงสุด 36 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงานชิปประมวลผลความแตกต่างเรื่องชิปประมวลผลก็ไม่ได้มีความต่างมากในรุ่นของ Series 9 และ Ultra 2 เพราะว่าใช้งานเป็นชิปของ SiP รุ่น S9 ซึ่งมีความสามารถที่เร็ว แรงมากกว่าในรุ่น SiP รุ่นที่ 8 ตามที่ SE ใช้งานนั่นเอง แต่ด้วยความที่แตกต่างกันในเรื่องของชิปประมวลคือ หากเป็นรุ่น SiP รุ่นที่ 9 จะมีความสามารถเพิ่มเข้ามาก็คือ คำสั่งนิ้ว "แตะสองครั้ง" ที่จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกดที่หน้าปัด หรือจะเป็นคุณสมบัติค้นหาตำแหน่งที่ตั้งจริงสำหรับ iPhone แบบแม่นยำมากกว่า SiP รุ่นที่ 8 ที่จะสามารถหาได้แค่ตาม Find My เท่านั้นวัสดุและขนาดสำหรับเรื่องขนาดของหน้าปัดก็ค่อนข้างแตกต่าง รวมไปถึงวัสดุ โดยหากเป็น Apple Watch Series 9 จะมีให้เราเลือกได้ระหว่างตัวเรือนที่เป็นอะลูมิเนียมหรือสแตนเลสสตีล ในขนาดหน้าปัดที่ 45 มม. หรือ 41 มม. ในระหว่างที่ Apple Watch Ultra 2 จะมีเพียงตัวเรือนที่ทำจากไทเทเนียม และเลือกได้แค่ขนาดหน้าปัด 49 มม. และในรุ่นของ Apple Watch SE จะเป็นตัวเรือนจากอะลูมิเนียม และเลือกได้ที่ขนาด 44 มม. หรือ 40 มม.ฟีเจอร์ด้วยความที่ Apple Watch เองก็มีฟีเจอร์ที่หลากหลายมากๆ ที่ถูกพัฒนามาให้เราได้ใช้งานอย่างหลากหลายความสามารถ ทำให้กลายเป็นมากกว่านาฬิกาข้อมือ เพราะฉะนั้นผมจะขอแนะนำฟีเจอร์ในรุ่นใหม่ๆ และได้ใช้งานกันแตะสองครั้งฟีเจอร์นี้มาใหม่มาพร้อมกับ SiP รุ่นที่ 9 ซึ่งตัวฟีเจอร์นี้จะทำให้สามารถใช้งาน Apple Watch ได้ง่ายมากขึ้น โดยที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องเอามืออีกข้างมาจับ เพียงแค่เราทำให้นิ้วโป้งและนิ้วชี้มาแตะกัน 2 ครั้ง ก็จะทำให้ Apple Watch ทำคำสั่งตามที่เราตั้งค่าไว้ เหมือนมี Short Cut เพิ่มเข้ามานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับสายโทรศัพท์ การเปิดการแจ้งเตือน เล่นเพลง หยุดเพลง และอื่นๆ อีกมากมายเลย รอการ Update เร็วๆ นี้ฟีเจอร์สุขภาพแน่นอนว่าหลายคนที่เลือกซื้อ Apple Watch มาใช้งานก็เพราะว่าฟีเจอร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ โดยที่ Apple Watch เองก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราในการทำงานตลอดทั้งวัน หรือมีความผิดปกติอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเราไหม เหมือนกับตอนเปิดงานในปีนี้ ก็ได้ชูความโดดเด่น และการช่วยเหลือคนให้รอดจากการใช้งาน Apple Watch เป็นการโปรโมทไปในตัวอีกด้วย โดยในตอนนี้ฟีเจอร์สุขภาพที่สามารถใช้งานได้ก็มีตั้งแต่ ฟีเจอร์ประมวลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) หรือการวัดออกซิเจนในเลือดเป็นต้นฟีเจอร์การออกกำลังกายสืบเนื่องมาจากฟีเจอร์สุขภาพ ตัว Apple Watch เองยังเด่นมากๆ ในการเป็นเหมือนผู้ช่วยในการออกกำลังกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนดูและในระหว่างการออกกำลังกาย จะวิ่ง จะเดิน จะเต้นก็สามารถช่วยตรวจจับ ดูการเต้นของหัวใจ การหายใจ ออกซิเจนต่างๆ ทำให้เราได้มีหูมีตา พร้อมการวิเคราะห์ข้อมูลให้ด้วย ว่าเรามีปัญหาที่ตรงไหน บันทึกทุกอย่างที่เราสามารถมาย้อนหลังดูได้ ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่หลายคนยกให้เป็นนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะไปเลยซึ่งจริงๆ ตอนนี้ Apple Watch เองก็รองรับในหลายรูปแบบกีฬามากขึ้นแล้ว เช่น วิ่ง วิ่งในร่ม เต้น ว่ายน้ำ (ที่สามารถเอาลงไปในน้ำ พร้อมว่ายไปด้วยกันเลย) โยคะ ปีเขา ปั่นจักรยานทั้งในร่มและนอกอาคาร และอื่นๆ อีกมากมายพร้อมมีการ Update กีฬาใหม่ๆ มาเรื่อยๆ ฟีเจอร์ความปลอดภัยจริงๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่า Apple Watch เองก็สามารถสั่งปลดล็อคเครื่อง MacBook หรือ iPhone ได้ด้วย โดยที่ไม่ต้องไปกดรหัส ขอให้เพียง Apple Watch อยู่ใกล้ๆ เราก็จะสามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วเลยแต่จริงๆ ความปลอดภัยที่ Apple Watch สามารถให้เราได้จริงๆ ก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น การขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ลื่นล้ม โดยระบบจะทำการตรวจจับการล้ม หากเราล้มแล้วหัวกระแทกพื้น สลบไปแล้วไม่ได้กดปิดปุ่มยืนยัน ระบบจะติดต่อไปยังหน่วยแพทย์ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไหนก็ตาม หรือการตรวจจับการชน ก็สามารถตรวจจับได้ว่าเราได้ประสบเหตุรถชนอย่างรุนแรงหรือไม่ เมื่อเกิดเหตุขึ้น ก็จะติดต่อบริการฉุกเฉินให้เหมือนกันนั่นเอง หลายคนก็จะนิยมซื้อให้คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้สูงอายุใส่ อย่างน้อยอุ่นใจเมื่อมีการแจ้งเตือนอัตโนมัตินี่เองราคาApple Watch Series 9รุ่น GPS + Cellular เริ่มต้นที่ ฿19,900รุ่น GPS เริ่มต้นที่ ฿15,900Apple Watch Ultra 2รุ่น GPS + Cellular ฿31,900Apple Watch SEรุ่น GPS + Cellular เริ่มต้นที่ ฿11,490รุ่น GPS เริ่มต้นที่ ฿9,490ทั้งหมดคือการมารีวิวสเปกของ Apple Watch Series 9 ทั้งตัวธรรมดาอย่าง Apple Watch SE หรือตัว Series 9 เอง ซึ่งอยากจะบอกว่า หลายคนเองก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะลักษณะการใช้ชีวิตอาจจะไม่ได้เหมาะกับตัว Apple Watch ที่อาจจะต้องเอาออกจากข้อมือมาชาร์จแบตทุกวัน หรือราคาที่อาจจะสูง แต่ถามว่าเหมาะกับใคร ก็อยากจะบอกว่า มันเหมาะกับคนชอบออกกำลังกาย เพราะมีความโดดเด่นมากๆ ในเรื่องการออกกำลังกาย หรือบุคคลที่มีปัญหาด้านสุขภาพ อย่างน้อย Apple Watch ก็สามารถตรวจสอบ เฝ้าเราในระหว่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยอยู่ก็ได้ อย่างไรก็ดี หากเพื่อนๆ มีความคิดเห็นอย่างไรกับ Apple Watch Series 9 เอง หรือรุ่นใดๆ ก็มาออกแสดงความคิดเห็นได้ครับเครดิตรูปภาพหน้าปก และรูปประกอบบทความ Apple Event - September 12 จาก Appleติดตาม TamKung ได้ที่ TamKung อ่านบทความที่ TrueID CreatorsFacebook: แต้มเองTwitter: แต้มเองติดตาม TamKungPhoto - ShutterStockใช้งานรูปฟรีของเราได้ที่ - Pixabayติดต่อ TamKung ที่ - tamk.nl/contactช่องทางการเคลมลิขสิทธิ์ - tamk.nl/copyrightข้อมูลตามกฎหมาย PDPA - tamk.nl/PDPA