MAJOR เคาะซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 600 ล้านบาท กำหนดระยะเวลา 17 พ.ย. 68 – 15 พ.ค. 69

MAJOR เคาะซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 600 ล้านบาท กำหนดระยะเวลา 17 พ.ย. 68 - 15 พ.ค. 69
#ทันหุ้น #SET #MAJOR บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) MAJOR แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 600 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 75,700,000 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นดังกล่าวคิดเป็น 9.99% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ซึ่งไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จำนวน 757,918,302 หุ้น
สำหรับวิธีการและกำหนดเวลาในการซื้อหุ้นคืน บริษัทจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2569 หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน บริษัทกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืนโดยพิจารณาจากราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการก่อนวันที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลโครงการซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะต้อง ไม่เกิน 115% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าวันที่มีการซื้อหุ้นคืน
ทั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณา พบว่าราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เท่ากับ 7.49 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 306 ล้านบาท หรือ 18% ขณะที่มีกำไรสุทธิ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76 ล้านบาท หรือ 151%
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,324 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 88 ล้านบาท หรือ 2% และมีกำไรสุทธิ 284 ล้านบาท ลดลง 139 ล้านบาท หรือ 33% เนื่องจากในปีที่ผ่านมามีรายการพิเศษจากผลกระทบภาษีเงินได้รอตัดบัญชีของบริษัทย่อย บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MPIC) ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือ 4% จากปีก่อน สะท้อนถึงผลการดำเนินงานหลักที่มั่นคงและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
รายได้
ไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากความสำเร็จของภาพยนตร์ต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสูง เช่น Demon Slayer และ Jurassic World ส่งผลให้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาบัตรชมภาพยนตร์เฉลี่ยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Concession) เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการปรับโครงสร้างราคาขาย และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 รายได้รวมอยู่ที่ 5,324 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนภาพยนตร์เข้าฉายในช่วงต้นปีที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งมีฐานรายได้สูงจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง
ต้นทุนและค่าใช้จ่าย
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ในไตรมาส 3/2568 ปรับตัวดีขึ้นจาก 35% เป็น 36% และสำหรับงวด 9 เดือนแรกทรงตัวที่ 34% เนื่องจากบริษัทฯ บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีสัดส่วนรายได้จากสินค้าที่มีกำไรสูงเพิ่มขึ้น
บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ในไตรมาส 3/2568 ลดลงจาก 33% เหลือ 28% ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น
กำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิ
กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 99 ล้านบาท หรือ 109%
กำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 76 ล้านบาท หรือ 151%
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 284 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 139 ล้านบาท หรือ 33% จากผลกระทบของรายการพิเศษในปี 2567 หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือ 4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจหลักที่มั่นคง
ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงาน
- การคัดเลือกคอนเทนต์ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงและมีฐานผู้ชมกว้าง
- การปรับราคาบัตรชมภาพยนตร์และสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มให้เหมาะสมกับต้นทุนและพฤติกรรมผู้บริโภค
- การบริหารจัดการต้นทุนและพลังงานในโรงภาพยนตร์อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลของรายการพิเศษภาษีเงินได้รอตัดบัญชีของ MPIC ในปี 2567 ซึ่งไม่เกิดขึ้นซ้ำในปีปัจจุบัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
