The Nightmare of Druaga ไม่ใช่แค่เกม Action RPG ธรรมดา แต่มันคือการเดินทางย้อนเวลาสู่ยุคทองของเกม 8-bit บนเครื่อง PlayStation 2 ตัวเกมเป็นภาคต่อของ Tower of Druaga ตำนานเกมแนว dungeon crawler ที่เคยสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เล่นยุคก่อน แม้กราฟิกจะไม่ได้สวยงามอลังการเหมือนเกมยุคใหม่ แต่ด้วยระบบการเล่นที่ท้าทาย เนื้อเรื่องที่เข้มข้น และกลิ่นอายความคลาสสิค ทำให้ The Nightmare of Druaga กลายเป็นเกมที่แฟนๆ RPG สายโหดต้องห้ามพลาด และเป็นเกมที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองสัมผัส บทนำ: ตำนานรักต้องสาปในหอคอยแห่ง Druaga เรื่องราวในเกม The Nightmare of Druaga ดึงดูดผมตั้งแต่เริ่มต้น มันเล่าถึง Gilgamesh วีรบุรุษผู้พิชิตหอคอย Druaga และปราบจอมมารได้สำเร็จ เขาเตรียมตัวที่จะแต่งงานกับ Ki หญิงสาวที่เขารัก แต่แล้ว Ki กลับถูก Succubus จอมมารลักพาตัวไป Gilgamesh จึงต้องออกเดินทางอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือคนรัก พล็อตเรื่องแบบนี้ ให้ความรู้สึกคลาสสิคเหมือนนิยายปรัมปรา ที่มักจะกล่าวถึงวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวที่ตนรัก ธีมหลักของเกมคือการเสียสละเพื่อความรักที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Gilgamesh ต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดการเดินทางในหอคอยแห่ง Druaga ระบบการเล่น: ความเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความโหดหิน The Nightmare of Druaga เป็นเกมแนว dungeon crawler มุมมองแบบ bird’s-eye view เราจะต้องบังคับ Gilgamesh สำรวจหอคอย Druaga ที่แบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีลักษณะ กับดัก และศัตรูที่แตกต่างกันออกไป สิ่งที่ทำให้เกมนี้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากเกมอื่นๆ คือระบบ “แสงสว่าง” Gilgamesh จะมีวงแสงสว่างล้อมรอบตัว ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นกับดักและศัตรูได้อย่างชัดเจน แต่แสงสว่างนี้จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ บังคับให้เราต้องคอยเติมแสงสว่างด้วยการถวายไอเท็มให้กับเทพี Ishtar ไม่เช่นนั้นเราจะต้องคลำทางในความมืด ซึ่งเสี่ยงต่อการตกกับดักหรือถูกศัตรูโจมตีได้ง่าย ตอนแรกผมรู้สึกว่าระบบนี้ค่อนข้างน่ารำคาญ เพราะต้องคอยกังวลเรื่องแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถโฟกัสไปที่การต่อสู้หรือสำรวจหาไอเท็มได้เต็มที่ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ กลับรู้สึกว่ามันเป็นระบบที่เพิ่มความตื่นเต้นและท้าทายให้กับเกมได้ดีทีเดียว มันทำให้เราต้องวางแผนการเดินทางให้รอบคอบ ต้องบริหารจัดการไอเท็มให้ดี และต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วในสถานการณ์คับขัน เช่น เมื่อแสงสว่างใกล้หมด แต่เรายังหาทางออกจากชั้นนั้นไม่เจอ เราจะเสี่ยงเดินต่อในความมืด หรือจะกลับไปยังจุดที่ปลอดภัยเพื่อเติมแสงสว่าง ความยากระดับโหดหิน: บททดสอบจิตใจของเหล่านักรบ The Nightmare of Druaga ขึ้นชื่อเรื่องความยากระดับโหดหิน ที่พร้อมจะทดสอบความอดทนของผู้เล่นทุกคน ศัตรูในเกมมีความแข็งแกร่ง โจมตีได้รุนแรง และมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย บางชนิดสามารถพุ่งเข้าโจมตีในระยะไกล บางชนิดสามารถล่องหนหายตัวได้ นอกจากนี้ ยังมีกับดักมากมายที่พร้อมจะปลิดชีพเราได้ทุกเมื่อ เช่น กับดักหอกที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น กับดักไฟที่พุ่งออกมาจากกำแพง หรือกับดักหลุมพรางที่ทำให้เราตกลงไปยังชั้นล่าง ผมจำได้ว่าตายบ่อยมากในช่วงแรกๆ โดยเฉพาะกับดักหอกที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น ที่มักจะซ่อนอยู่ตามทางเดินแคบๆ ทำให้หลบได้ยาก กว่าจะผ่านแต่ละชั้นได้ ต้องใช้ความอดทน ความพยายาม และการเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ในขณะเดียวกัน ความยากของเกมก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมติดหนึบ เพราะทุกครั้งที่ผ่านแต่ละชั้นไปได้ จะรู้สึกถึงความสำเร็จและความภูมิใจอย่างมาก เหมือนกับได้เอาชนะความท้าทายที่ยากยิ่ง ดนตรีประกอบ: เสียงเพลง 8-bit แห่งความทรงจำ ดนตรีประกอบในเกมนี้เป็นดนตรีแบบ 8-bit ที่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่ติดหู และเข้ากับบรรยากาศของเกมได้อย่างลงตัว เพลงประกอบในฉากต่อสู้ มีจังหวะเร็ว เร้าใจ ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับการเล่น ส่วนเพลงประกอบในฉากเมือง จะมีจังหวะช้า ฟังสบาย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ผมชอบเพลงประกอบในเกมนี้มาก โดยเฉพาะเพลงในฉากเมือง ที่ให้ความรู้สึก nostalgic เหมือนได้ย้อนกลับไปเล่นเกมยุค Famicom อีกครั้ง ดนตรีประกอบเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและอารมณ์ของเกม ทำให้การเล่นเกม The Nightmare of Druaga เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำยิ่งขึ้น กราฟิก: ความงามแบบเรโทรในโลก 2.5D กราฟิกของเกมเป็นแบบ 2.5D ตัวละครและฉากต่างๆ ถูกออกแบบในสไตล์ pixel art ที่ให้กลิ่นอายเกมยุค 8-bit แม้กราฟิกจะไม่ได้สวยงามอลังการ แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง รายละเอียดของตัวละคร ฉาก และเอฟเฟกต์ต่างๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน ทำให้โลกของ The Nightmare of Druaga ดูมีชีวิตชีวา ส่วนตัวผมชอบกราฟิกแบบ pixel art อยู่แล้ว มันทำให้ผมนึกถึงเกมในวัยเด็ก และรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เล่น กราฟิกแบบ pixel art เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมยุคเก่า ที่เกมยุคใหม่ไม่สามารถเลียนแบบได้ สรุป: ประสบการณ์สุดคลาสสิคที่ไม่ควรพลาด The Nightmare of Druaga เป็นเกมที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเกมแนว dungeon crawler เกมยุคเก่า และเกมที่มีความท้าทายสูง แม้กราฟิกจะดูโบราณ แต่ระบบการเล่น ความยาก เนื้อเรื่อง และดนตรีประกอบ ยังคงความสนุก และน่าประทับใจ ไม่แพ้เกมยุคใหม่ ถ้าคุณกำลังมองหาเกม RPG สุดคลาสสิคที่เล่นแล้วหัวร้อน แต่ก็วางไม่ลง The Nightmare of Druaga คือคำตอบ คะแนน: 8.5/10 ข้อดี: ระบบการเล่นสุดท้าทาย ที่ผสมผสานความคลาสสิคกับความแปลกใหม่ได้อย่างลงตัว เนื้อเรื่องเข้มข้น ชวนติดตาม มีการหักมุมที่คาดไม่ถึง ดนตรีประกอบไพเราะ ติดหู เข้ากับบรรยากาศของเกม กราฟิกแบบ pixel art สวยงาม มีเสน่ห์ ให้ความรู้สึก nostalgic ข้อเสีย: ความยากอาจทำให้ผู้เล่นบางคนรู้สึกหงุดหงิด และอาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ระบบการเล่น ระบบแสงสว่างอาจสร้างความรำคาญในช่วงแรก เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !