รู้จักทุ่นระเบิด PMN-2 อาวุธสงครามที่ไร้มนุษยธรรมและละเมิดอนุสัญญาออตตาวา

ทุ่นระเบิด PMN-2 ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถูกลืมในสงครามแต่ไม่เคยถูกลืมในชีวิตจริง ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-personnel mine) โดยถูกจัดเป็นอาวุธที่สร้างความเสียหายต่อเป้าหมายที่เป็นมนุษย์โดยเฉพาะ และหนึ่งในทุ่นระเบิดที่สร้างบาดแผลลึกไว้ในประวัติศาสตร์สงคราม
PMN-2 ถูกผลิตขึ้นในอดีตสหภาพโซเวียต โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "Pressurable mine No. 2" ซึ่งสะท้อนถึงกลไกการทำงานที่เรียบง่ายแต่ร้ายแรง นั่นคือจะทำงานทันทีที่มีแรงกดจากเหยียบหรือแรงกดจากสิ่งอื่น ๆ จึงไม่พบการใช้งานในกลุ่มประเทศโลกเสรี
การพัฒนาทุ่นระเบิด PMN-2
ทุ่นระเบิด PMN-2 มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 120 มม. น้ำหนัก 44 กรัม พัฒนาขึ้นมาจากทุ่นระเบิด PMN-1 เอกลักษณ์สำคัญของทุ่นระเบิด PMN-1 คือ มีลักษณะสีน้ำตาลหรือสีดำ เปลือกนอกหุ้มด้วยเบกาไลต์ แผ่นยางสีดำเพื่อสร้างแรงกด และระเบิดทีเอ็นที
ในขณะที่ทุ่นระเบิด PMN-2 มีลักษณะเป็นพลาสติกฉีดขึ้นรูปสีเขียวใบไม้ สีสันลักษณะภายนอกแตกต่างจากทุ่นระเบิด PMN-1 อย่างชัดเจน โดยมีแผ่นยางสีดำรูปตัว X อยู่ด้านบน
ทุ่นระเบิด PMN-1 และ PMN-2
ความร้ายแรงของทุ่นระเบิด PMN-2
การออกแบบทุ่นระเบิด PMN-2 ส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก ทำให้เครื่องตรวจจับโลหะแบบดั้งเดิมแทบไม่สามารถหาเจอได้ง่าย ๆ ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง เรดาร์เจาะพื้นดิน (Ground Penetrating Radar - GPR) หรือสุนัขดมกลิ่นที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ทุ่นระเบิด PMN-2 กลไกหน่วงเวลา หลังจากดึงสลักนิรภัยออกแล้ว กลไกภายในจะใช้เวลาประมาณ 30-300 วินาทีในการทำงานเต็มที่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ติดตั้งมีเวลาเพียงพอในการถอยหนีออกจากพื้นที่อันตราย
ความทนทานต่อแรงระเบิด ตัวฝาครอบด้านบนของ PMN-2 ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อแรงระเบิดจากภายนอก (blast-resistant) ทำให้การกวาดล้างโดยใช้วิธีระเบิดทำลายจากระยะไกลไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ทุ่นระเบิด PMN-2 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง เนื่องจากทุ่นระเบิดชนิดนี้ไม่ได้แยกแยะระหว่างทหารและพลเรือน และมักจะถูกฝังทิ้งไว้ในพื้นที่ที่ผู้คนใช้สัญจรไปมาเป็นประจำ เช่น ตามเส้นทางในป่าหรือพื้นที่เกษตรกรรม
ทุ่นระเบิด PMN-2 ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
ประเทศใดก็ตามที่ใช้งานทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถือเป็นการละเมิด อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่มุ่งห้ามการใช้ สะสม และผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยมีประเทศมากกว่า 160 ประเทศทั่วโลกให้สัตยาบัน อนุสัญญาฉบับนี้กำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมต้องทำลายทุ่นระเบิดในคลังของตน และกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ของตนให้หมดไป
แม้ว่าสงครามในหลายประเทศจบลง แต่ผลกระทบจาก PMN-2 ยังคงหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการพบทุ่นระเบิดประเภทนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนในพื้นที่ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงทุกย่างก้าว
สาระสำคัญของอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยทุ่นระเบิด
1. การกำจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก โดยห้ามรัฐภาคีในการใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดประเภทนี้
2. กำหนดให้รัฐภาคีต้องทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดภายใน 4 ปี และกวาดล้างทุ่นระเบิดที่ฝังอยู่ในพื้นที่ภายใต้อำนาจของตนให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี
3. ปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 160 ประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงประเทศไทยและกัมพูชา
วิธีการตรวจหาทุ่นระเบิด PMN-2
ปัจจุบันวิธีการตรวจหาทุ่นระเบิด PMN-2 ยังคงเป็นสิ่งที่ยาก เนื่องจากทุ่นระเบิด PMN-2 มีส่วนประกอบที่เป็นโลหะน้อยมาก เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detectors) ทั่วไปไม่สามารถหาเจอได้
เรดาร์เจาะพื้นดิน (Ground Penetrating Radar - GPR) เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อสร้างภาพของวัตถุที่อยู่ใต้ดิน โดย GPR สามารถตรวจจับวัตถุที่ไม่ใช่โลหะได้ดี รวมถึงทุ่นระเบิด PMN-2
อย่างไรก็ตาม เรดาร์เจาะพื้นดิน (Ground Penetrating Radar - GPR) ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ ในด้านประสิทธิภาพการทำงานที่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของดินและสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อความลึกและความละเอียดของการตรวจจับ โดยประสิทธิภาพลดลงในดินที่มีความชื้นสูง เช่น ดินเหนียว หรือดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ เนื่องจากคลื่นวิทยุจะถูกดูดซับได้ง่าย
ความลึกของพื้นดินที่เรดาร์ GPR สามารถเจาะได้ถูกจำกัดโดยความถี่ของคลื่นที่ใช้ เช่น คลื่นความถี่ต่ำ สามารถเจาะพื้นดินได้ลึกกว่า แต่ให้ความละเอียดของภาพต่ำกว่า ในขณะที่คลื่นความถี่สูงให้ภาพที่คมชัดกว่าแต่เจาะพื้นดินได้ตื้นกว่า
Ground Penetrating Radar - GPR
Ground Penetrating Radar - GPR
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ใช้ตรวจหาทุ่นระเบิด PMN-2 เช่น ระบบเซนเซอร์คู่ (Dual-Sensor System) เป็นอุปกรณ์ที่รวมเครื่องตรวจจับโลหะและเรดาร์เจาะพื้นดินไว้ในเครื่องเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา เพราะจะสามารถตรวจจับได้ทั้งส่วนประกอบที่เป็นโลหะและตัวทุ่นระเบิดที่เป็นพลาสติก
รวมไปถึง การใช้สุนัขดมกลิ่น หรือสุนัขที่ผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะสามารถใช้ในการตรวจจับสารระเบิดที่อยู่ในทุ่นระเบิดได้ ร่วมกับการใช้สายตามนุษย์ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจะต้องตรวจสอบพื้นที่ด้วยสายตาอย่างละเอียดเพื่อมองหาความผิดปกติของพื้นดิน เช่น ดินที่ถูกขุดใหม่ หรือร่องรอยของการฝังวัตถุ
จุดอ่อนของทุ่นระเบิด PMN-2
ทุ่นระเบิด PMN-2 ต้องการแรงกดที่ค่อนข้างมากในการระเบิด โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 8 กิโลกรัม โดยมันจะไม่ทำงานกับแรงกดเบา ๆ เช่น สัตว์ขนาดเล็กเดินผ่าน อย่างไรก็ตาม หากเป็นมนุษย์หรือสัตว์ใหญ่เดินผ่านก็ทำให้ระเบิดทำงานได้
กลไกภายในอ่อนไหวต่ออุณหภูมิ ความร้อนและความเย็นจัด ทุ่นระเบิด PMN-2 อาจทำงานผิดพลาดได้เมื่อต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งอาจทำให้กลไกติดขัดหรือทำงานไม่สมบูรณ์ เช่น กรณีไฟป่าร้อนรุนแรงบริเวณผิวดิน หรือ กรณีที่มีอากาศหนาวจัดจนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง
กลไกนิรภัยมักทำงานผิดพลาดเสียเอง ทหารที่ไม่มีความรู้หรือผ่านการฝึกมาเพียงพอจะตั้งค่ากลไกนิรภัยผิดพลาดและทำให้เกิดระเบิดขณะเคลื่อนย้ายหรือติดตั้งระเบิด ดังนั้น มักจะมีแต่นายทหารผู้เชี่ยวชาญผ่านการฝึกมาเท่านั้นจะเป็นผู้วางทุ่นระเบิด PMN-2
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
