เอ็กซ์เรย์หุ้นไทยเดือนก.พ.ขึ้นต่อหรือพักเบรก

4 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:09 )
121
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล. เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ.ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีทั้งบวกและลบสลับกันขึ้นกับปัจจัยและสถานการณ์ในช่วงนั้น ๆ โดยนักลงทุนต่างชาติมีทั้งซื้อและขายเห็นได้จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง เช่น ปี 54 ซื้อสุทธิ 8,453 ล้านบาท SET Index +2.47%ปี 55 ซื้อสุทธิ 46,434 ล้านบาท SET Index +7.10%
ปี 56 ขายสุทธิ 17,387 ล้านบาท SET Index + 4.57%ปี 57 ขายสุทธิ 21,376 ล้านบาท SET Index +4.10%ปี58 ขายสุทธิ 6,898 ล้านบาท SET Index +0.36% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 7 ครั้ง ซื้อสุทธิ 3 ครั้ง แต่ SET Index ปรับขึ้น 7 ครั้ง ปรับลง 3 ครั้งเฉลี่ย 10 ปีดัชนีปรับตัวขึ้น 0.92%
สำหรับภาพรวมตลาดเดือน ก.พ.ปีฉลู คาดว่าตลาดหุ้นไทย ในช่วงครึ่งเดือนแรก ยังมีแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานมาจากนักลงทุนปรับพอร์ตลงทุนเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น OR เห็นได้จากราคาหุ้นพลังงานในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงแรง เช่น PTT,PTTEP แต่ประเมินราคาหุ้นได้ตอบรับระดับหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้เนื่องจากวันที่จองซื้อของนักลงทุนสถาบัน Active Fund อยู่ระหว่าง 3-5 ก.พ. 64 (ซึ่งต้องเตรียมเงินก่อนหน้า 2 วัน ดังนั้นวันสุดท้ายที่ซื้อ คือ 5 ก.พ. 64 ต้องเตรียมเงินเสร็จตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา) จึงเหลือเพียงแรงกดดันจาก Passive Fund ที่จะปรับพอร์ตหลัง OR ถูกคัดเข้าดัชนี SET50-100 Fast Track โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดจะมีเม็ดเงินเพียง 1,400 ล้านบาท เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังของเดือน ก.พ. เป็นผลจากความคืบหน้าวัคซีนโควิดที่มีปริมาณการฉีดมากขึ้น และหลายบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนประสบผลสำเร็จ และเริ่มผลิตออกมาใช้ในวงกว้างในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ และจีน
รวมทั้งได้รับแรงหนุนจากนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ โดยเฉพาะมาตรการอัดฉีดเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ
หรือคิดเป็นสัดส่วน 9% ของจีดีพีสหรัฐ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 100% อยู่ที่15 เหรียญฯต่อวัน หนุนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น และ อัตราเงินเฟ้อ ขยายตัวแตะเกิน 2% คาดว่าจะทำให้ Flow ยังไหลเข้าเอเซียรวมถึงไทย
ส่วนการประกาศปรับลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรหรือQE Tapering คาดเฟดยังไม่เกิดขึ้น หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณเมื่อประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลในอดีตปี 56 เฟดประกาศ QE Tapering จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ แต่เป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย โดยในรอบนั้น 19 มิ.ย. ส่งผลให้SET Index ปรับลง 2.5% Flow ต่างชาติไหลออกราว 6.3 พันล้านบาท และไหลออกติดต่อกัน 6 วัน รวมกัน 2.9 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจีดีพีโลกจะโต 5.5% จากเดิม คาดไว้ 5.2% ส่วนในประเทศที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องการแพร่ระบาดโควิดต่อเนื่อง และการฉีดวัคซีนเข็มแรก จากเดิมที่กำหนดไว้ใน 14 ก.พ.นี้อาจเลื่อนออกไปเป็นเดือนพ.ค. ซึ่งหากไทยได้รับวัคซีน เร็วเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยหนุนการปรับขึ้นของ SET Index ต่อไป
เห็นได้จากประเทศที่ได้รับวัคซีน อาทิ UAE และอิสราเอล สหรัฐฯ และอังกฤษ จำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนในช่วง 6 %- 32% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หนุนตลาดหุ้นเหล่านี้ปรับขึ้นได้ในช่วง 1.91% - 9.11%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจไทยที่ทยอยฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลไทยยังเดินหน้าผ่อนคลาย lockdown และปัจจัยจากต่างประเทศที่หนุน Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว ดังนั้น คงน้ำหนักหุ้นไทยไว้ที่ 40%
ด้านกลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่คาดกำไรมีการเติบโตในปีนี้ เช่น PTT (FV @ 48.50 ) SCC (FV @ 448) BDMS(FV @ 24) CPF(FV @ 42) และหุ้นปันผลสูงอย่าง TISCO (FV @ 102) MCS (FV @ 21.90) ส่วนหุ้น Overvalue ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน คือ HANA ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,420 -1,550 จุด
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.comfacebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE