เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังแกว่งตัวลงต่อเนื่องโดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,555 จุด หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มพลังงานคาดยังถ่วงจากราคาน้ำมันดิบที่ยังปรับลงแรง อย่างไรก็ตามเรามองหุ้น Domestic Play ยังเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าหลังกลุ่มธนาคารที่ประกาศกำไร 1Q23 แล้วส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงยังถูกกดดันจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงยาวนานและเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปที่ชะลอและยังเสี่ยง Recession ทำให้เม็ดเงินยังไหลเข้าหาพันธบัตรและทองคำในระยะนี้
อย่างไรก็ตามการเติบโตของเศรษฐกิจฝั่งเอเชียรวมถึงไทยที่ดูแข็งแกร่งกว่าคาดว่ายังช่วยจำกัด Downside ได้บ้าง นอกจากนี้หากผลการเลือกตั้งของไทยออกมาในเชิงบวกโดยมีแนวโน้มจัดตั้งรัฐบาลใหม่อย่างมีเสถียรภาพได้จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดฯใน 2H23-2024 เราจึงยังชอบหุ้น Domestic Play และคาด Outperform Global Play ได้ต่อเนื่อง ระยะสั้นเน้นเลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดกำไร 1Q23 แข็งแกร่ง
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนหุ้น Domestic และคาดกำไร 1Q23 แข็งแกร่ง//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มในช่วงปรับฐาน
หุ้นเด่นเดือนเม.ย. : AOT, BA, BGRIM, CPN, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้:BBL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก IAA Consensus 184.90 บาท
• กำไร 1Q23 ออกมาที่ 1 หมื่นลบ. +34% q-q, +42% y-y ดีกว่าคาด 11% จากกำไรจากการตีมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน รายได้ดอกเบี้ยโตแกร่งตามดอกเบี้ยขาขึ้นและ NIM ปรับตัวดีขึ้น สำรองมีการปรับขึ้นจากความ Conservative แต่ NPL Ratio ยังคุมได้ดีทรงตัวจาก 4Q22
• Consensus คาดกำไรปี 2023 ฟื้นตัวแกร่ง +17% y-y โดย BBL เป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากสุด ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังแข็งแรง และยังเทรด PBV เพียง 0.6 เท่า
• แนวรับ 155-154//150-148 บาท แนวต้าน 160//165 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ ปรับตัวลงต่อ ความกังวลเศรษฐกิจโลก+Fed ถ่วงตลาด และงบ 1Q ไม่สดใสมากนัก ต่างประเทศ ยังคงกังวลเรื่องของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และดอกเบี้ย Fed จะปรับตัวขึ้น รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาไม่ดีมากนัก เป็นตัวฉุดตลาดหุ้น
• ประเด็นความขัดแย้งจีน-ไต้หวันยังคงต้องจับตาดูการซ้อมรบของจีน เรามองว่ายังเป็นปัจจัยเสี่ยงของตลาด
• นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในโหมดขายหุ้นไทยต่อ วานนี้ Net Sell 738 ล้านบาท
• หุ้นธนาคาร มีกำไรที่ดีกว่าไตรมาสก่อน แต่ยังต้องดูแนวโน้ม NIM และ การตั้งสำรอง จากการ Analyst Meeting ด้วย ตัวที่เราชอบ BBL, KTB
• ผลประกอบการ 1Q ภาพรวมอาจดีกว่า 4Q ที่กำไรเพียง 1.5 แสนลบ. ได้ไม่มากนัก หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ส่วนใหญ่จะได้รับกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ภาคบริการ จะดีกว่า
• การเมือง ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าใครจะเป็นแกนนำรัฐบาล ทำให้เรามองว่า Election Rally อาจจะไม่เกิดขึ้น
• หุ้นขึ้น “XD” วันนี้ ได้แก่ TISCO(@7.75), TISCO-P(@7.75), BBL(@3.00) และ PSL(@0.25)
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ยอดค้าปลีกอังกฤษ เดือน มี.ค
Strategy
• ตลาดยังถูกกดดันด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกและการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ของไทยเอง กลับมาแรงขายหนักเข้ามาในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (ไม่เกี่ยวกับ DELTA) การลงทุนในระยะนี้ ควรเน้นขาย หรือ selective ในตัวหุ้นให้มากๆ
• พอร์ตหุ้นวันนี้เราคงหุ้นทั้งหมดไว้ หุ้นในพอร์ตประกอบไปด้วย HANA(15%), BH(10%), GUNKUL(10%)
Strategy Stock Pick
BH: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 250.00 บาท) “คาดรายได้บริการฟื้นแรงหลังเทศกาลรอมฎอน”
•ประเมินรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวต่อเนื่องใน 1Q23E (ลุ้นงบดีโตทั้ง YoY, QoQ) ส่วน 2Q23E ต้นไตรมาสผู้ป่วย UAE อาจลดไปบางตามเทศกาลรอมฎอน หลังจากนั้นจะเร่งตัวขึ้น ประเมินรายได้ปี 2023 โต +6.4%YoY ที่ 2.19 หมื่น ลบ.
•คาดรายได้ค่ารักษาต่อหัวเพิ่มขึ้น นโยบายรัฐหนุน โดยปี 2023 ไทยเพิ่มโควตานักท่องเที่ยวซาอุฯ เข้าไทยเป็น 1-1.5 แสนคน จากเดิม 3 หมื่นคนซึ่ง BH เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนที่คนกลุ่มนี้ให้ความนิยม
•DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2023E-2024E ที่ 5.27 พัน ลบ. และ 5.73 พัน ลบ. +6.7%YoY และ +8.8%YoY ตามลำดับ
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,570 – 1,575 แนวต้าน 1,585 – 1,590 รอรายงานกำไรกลุ่มธนาคาร รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐ แนะนำซื้อเก็งกำไร KTB @FV 19.40 / TMB @ Consensus 1.57 จากรายงานกำไร Q1/66 ดีกว่าคาด
SAPPE* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 61.75 บาท) บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 66 ที่ระดับ +25%YoY จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศจะมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และต่างประเทศจากการขยายช่องทางการจำหน่าย รวมถึงยังคงแผนในการขยายกำลังผลิตขึ้นอีก +30% ในต้นปี ขณะที่ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและจำนวนนักท่องเที่ยว ประกอบกับ Seasonal ที่เข้าสู่หน้าร้อน ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตดีขึ้นเป็นบวกต่อ GPM เบื้องต้นมองที่ระดับ 40% และมีโอกาสดีขึ้นจากแนวโน้มวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง ด้าน Valuation ตลาดประเมินกำไรปี 66 ที่ราว 800 ล้านบาท +23%YoY
AMATA* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 25.70 บาท) ประเมินภาพการดำเนินงานปกติในปี66 จะสดใสได้ต่อเนื่องจากการกลับมาเจรจากับลูกค้าต่างชาติได้อีกครั้งหลังการระบาดของ Covid-19 การตั้งฐานการผลิตกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย โดย เบื้องต้น AMATA* ตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปี 66 ไว้ที่ 2,500 ไร่(+100%YoY) ซึ่งคาดยอดขายปี 66 จะมาจาก ที่ดินในนิคมฯ อมตะ ซิตี้ ระยอง 700-800 ไร่, นิคมอุตฯไทย-จีน (บริษัทร่วมทุนไทย-จีน) 500 ไร่, ที่ดินนิคมฯ ที่เวียดนาม 600-700 ไร่ และที่เหลือเป็นที่ดินใน อมตะ ซิตี้ ชลบุรี