เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน สำนักข่าวบีบีซีได้รายงานการรั่วไหลของน้ำมันดีเซล 20,000 ตัน จากถังเก็บเชื้อเพลิงของโรงงานไฟฟ้าลงแม่น้ำใกล้เขตอาร์กติก ซึ่งตามรายงานกล่าวว่ามีความรุนแรงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รัสเซีย แต่สำหรับสิ่งแวดล้อมนั้นมันถือเป็นการจุดชนวนภัยพิบัติครั้งใหญ่ การรั่วไหลของน้ำมันเกิดขึ้นหลายครั้งในทะเล ทั้งเกิดจากการชนกันของเรือบรรทุกน้ำมันในทะเล หรือจากการรั่วไหลมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ความพิเศษของการรั่วไหลที่รัสเซียในครั้งนี้ คือ มันเกิดขึ้นที่บริเวณเขตอาร์กติก พื้นที่ที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาเป็นกิโลเมตร ซึ่งภายใต้น้ำแข็งหนานี้ยังเป็นแหล่งสะสมของดิน และซากพืชซากสัตว์ที่เกิดการเน่าเปื่อย โดยคาดน่าจะมีปริมาณของแก๊สเรือนกระจกที่อยู่ในรูปของแข็ง (แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน) ประมาณ 1.7 ล้านล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณคาร์บอนที่มากกว่าในชั้นบรรยากาศถึง 2 เท่า คร่าวนี้เราลองมาจินตนาการถึงผลกระทบครั้งนี้กันดีกว่าครับ 1. แน่นอนว่าน้ำมันที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำจะกั้นไม่ให้แก๊สต่างๆไหลเวียนลงไปในน้ำได้ และสัตว์ที่มีสัญชาตญาณอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งคงหนีไม่พ้นที่จะเป็นเหยื่อครั้งนี้แน่นอน อีกทั้งโดยปกติแล้วน้ำมันจะเกิดการย่อยสลาย ซึ่งจะทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดภาวะเน่าเสียเนื่องจากการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย ทำให้โอกาสรอดของสิ่งมีชีวิตในทะเลบริเวณนั้นเหลือน้อยมากๆ 2. หากน้ำมันเหล่านี้การเจือปนในสิ่งมีชีวิต เช่นปลา หรือแพลงตอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหาร ต่อไปสัตว์น้อยใหญ่ก็จะพากันกินแพลงตอน และปลาพวกนี้ เกิดการสะสมของสารพิษไปเรื่อย และจบท้ายที่มนุษย์ ซึ่งอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร 3. น้ำมันอาจเกาะโดนบริเวณที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊สของสัตว์ ทำให้มันไม่สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้ และเสียชีวิตท้ายที่สุด 4. น้ำมันร้อนจากถังเก็บเชื้อเพลิงของโรงงานไฟฟ้ากว่า 20,000 ตัน ทำให้น้ำแข็งละลาย และเพิ่มระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้นอีก ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน บริเวณที่เป็นพื้นดินกลับน้อยลง ในขณะที่ประชากร และความต้องการของที่อยู่อาศัยยังคงมากขึ้นเรื่อยไป 5. น้ำแข็งที่เกิดการละลายจะปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทนที่เย็นจัด ซึ่งอยู่ในรูปของแข็งออกมา ยิ่งเป็นการตอกย้ำวิกฤติภาวะโลกร้อนให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ 6. นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า การละลายของน้ำแข็งซึ่งมีอายุกว่าพันปีนี้จะปลุกแบคทีเรีย และไวรัสก่อโรคต่างๆขึ้นมา ซึ่งกรณีเคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2016 เด็กคนหนึ่งในเขตไซบีเรียเหนือได้ตายจากการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าติดเชื้อมาจากเรนเดียร์ติดเชื้อที่ถูกฝังเมื่อ 70 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากน้ำแข็งเกิดการละลายจึงปลุกเชื้อให้ตื้นขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจดูเล็กน้อย แต่ได้ตามมาซึ่งผลกระทบที่มากมาย และยิ่งใหญ่ และเราทำได้มากกว่าการภาวนาให้ระบบนิเวศกลับมาปกติ โดยไม่ไปซ้ำเติมวิกฤตนี้ หรือนำวิกฤติอื่นมาเพิ่มพูนอีก เครดิตภาพ : NOAA on Unsplash , pixabay , pixabay ภาพปก : pixabay อ้างอิงเนื้อหา : https://www.sciencealert.com / http://www.ioithailand.com / https://www.nytimes.com / https://news.thaipbs.or.th