HFTปีหน้ามาร์จิ้นผงาด ต้นทุนลด-ราคาขายเพิ่ม
#HFT #ทันหุ้น – HFT คาดปีหน้าอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงกว่าปีนี้ หลังราคาวัตถุดิบเริ่มลดลง ขณะที่รายได้รวมยังเติบโต ลุยหนักขยายตลาดรถจักรยานยนต์ในอินโดนีเซีย โอกาสเติบโตสูง พร้อมเจรจาพันธมิตรรายใหญ่ประเทศไต้หวัน พัฒนาผลิตภัณฑ์จักรยานยนต์ไฟฟ้า คาดชัดเจนปลายปีนี้
นายจวง จื้อ เหยา รองประธานกรรมการ บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ HFT ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในสำหรับรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ และรถขนส่งขนาดเล็ก เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นมากกว่าปี 2565 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเริ่มปรับตัวดีขึ้น เเม้ในช่วงไตรมาสที่ 1/2566 บริษัทจะมีการใช้วัตถุดิบเดิมอยู่ แต่ที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นราคาขายยางทั้งในส่วนจักรยานและยางมอเตอร์ไซค์ไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อชดเชยกับต้นทุนวัตถุดิบที่ขึ้นมาก่อนหน้านั้น
@จักรยานขยายตัวดี
ขณะที่แนวโน้มรายได้จะขยายตัวดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตลาดจักรยานในยุโรปมีทิศทางการขยายตัวที่ดี ทั้งจักรยานปกติที่จะเห็นการเติบโตขึ้นมาก เเละจักรยานไฟฟ้าจะมีแนวโน้มการเติบโตสูงมาโดยตลอด ซึ่งตลาดจักรยานที่เป็นแมสมาร์เก็ต อาจจะมีผลกระทบบ้างสั้นๆ จากการชะลอเศรษฐกิจ แต่ตลาดพรีเมียมมาร์เก็ตไม่ได้รับผลกระทบ
@ขยายตลาดอินโด
ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์ บริษัทมีการขยายตลาดไปยังอินโดนีเซียเนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เเละสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างสำรวจตลาดและสร้างทีมขายในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น จากที่ผ่านมามียอดขายเพียงเล็กน้อย โดยมีแผนก่อสร้างโรงงานเพิ่มเติมเพิ่มสามารถเเข่งขันได้ในตลาดเพื่อนบ้าน
@ดีลพันธมิตรไต้หวัน
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรรายใหญ่จากไต้หวัน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนจากการร่วมลงทุนในช่วงปลายปี 2565 นี้อย่างน้อย 1 ดีล
@อัตรากำไรทั้งปียังเติบโต 22%
บริษัทมั่นใจว่าอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 4/2565 จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 3/2565 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15.71% ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17% โดยยังวางเป้าอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 22%
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 มีกำไร 161.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 92.21 ล้านบาท โดยบริษัทมีที่รายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 798.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.83% ส่วนต้นทุนขายและบริการ อยู่ที่ 673.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% ส่วนหนึ่งเกิดจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในส่วนของกำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 125.51 ล้านบาท จาก 130.62 ล้านบาท หรือลดลง 3.91% และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15.71% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 16.97%
อย่างไรก็ดีบริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีค่าเสื่อมอยู่ที่ 215.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.54% และมีอัตรากำไรสุทธิ 20.21% เพิ่มจาก 11.98% ในช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.25 บาท เพิ่มขึ้น 78.57% ทั้งนี้บริษัทมีกำไรที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานราว 92.96 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ตลาดไต้หวันและโดยได้รับปันผลกลับมา และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย