สมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้แตกต่างกันไป ซึ่งพืชสมุนไพรนั้นได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ และได้สืบทอดความรู้เกี่ยวกับตำราสมุนไพรต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน พืชสมุนไพรบางชนิดนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในตำรายาเมื่อหลายพันปีก่อน นั่นก็แสดงให้เห็นว่าพืชสมุนไพรมีความสำคัญและมีบทบาทสำคัญกับมนุษย์มาชานานแล้ว แต่ในปัจจุบันคนทั่วไปรู้จักพืชสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น อีกทั้งพืชสมุนไพรบางชนิดก็หายากและมีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงผู้เขียนจึงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งในการนำข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับพืชสมุนไพรแต่ละชนิดมาเผยแพร่ ไม่วาจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ และสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด รวมไปถึงวิธีการนำมาใช้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนได้นำข้อมูลของพืชสมุนไพรหนึ่งชนิด ที่น้อยคนนักจะทราบว่าพืชชนิดนี้เป็นสมุนไพรสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่า “พลับพลึงหนู” ที่มักปลูกไว้เป็นไม้ประดับตามบ้าน ซึ่งก็เป็นพืชอีกชนิดที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียวภาพถ่ายโดยผู้เขียนลักษณะของ “พลับพลึงหนู” จัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก พืชชนิดนี้จะมีหัวอยู่ใต้ดิน ใบจะแตกออกมาจากใต้ดินเรียงเวียนซ้อนอัดกันแน่นจนเป็นลำต้นเทียม และแตกหน่อออกเป็นกอ ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทั่ว ๆ ไป เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวมนถึงแหลมทู่ โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ส่วนขอบใบเรียบ ปลายใบอ่อนโค้งลง แผ่นใบหนาสีเขียวเป็นมัน อกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก้านช่อดอกแข็งและแบน บนปลายก้านของดอก ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปเรียวยาว ส่วนกลีบดอก โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายกลีบแยกเป็นแฉก 6 แฉก มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นรูปแถบเรียวเล็กสรรพคุณของ “พลับพลึงหนู” แก้อาการเคล็ดขัดยอก แก้ฟกบวม แก้อาการท้องเดิน ช่วยขับเสมหะ แก้ปวดหัว ช่วยลดอาการไข้ เป็นยาบำรุงร่ายกาย ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยขับปัสสาวะภาพถ่ายโดยผู้เขียน“พลับพลึงหนู” เป็นพืชที่มักนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในบริเวณบ้าน เมื่อสมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กนั้น มักเห็นผู้นำมาปลูกใส่กระถางไว้รอบบ้าน ซึ่งหากปลูกไว้ในบริเวณที่จะมีแสดงแดดทั้งวัน ก็จะออกดอกสี่ขาวสวยและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ด้วย ครั้งหนึ่งผู้เขียนปั่นจักรยานล้ม จนทำให้แขนเคล็ดและมีอาการบวมช้ำ ผู้เของผู้เขียนได้ใช้ใบ “พลับพลึงหนู” มาลนไฟให้อ่อน แล้วนำมาประคบบริเวณที่บาดเจ็บ โดยประคบทุกวันเช้าและเย็นติดต่อกันสองวันอาการปวดบวมก็ทุเลาลงและหายเป็นปกติในเวลาไม่นาน หากมีอาการไขมีเสมหะ ปู่ก็จะนำหัว “พลับพลึงหนู” มาต้มให้ดื่ม โดยก่อนดื่มให้ผสมน้ำมะนาวกับน้ำผึ้งลงไปด้วยเพื่อช่วยกลบรสขมทำให้ดื่มง่ายขึ้น ให้ดื่มเวลาใดก็ได้ จิบบ่อย ๆ ก็จะช่วยขับเสมหะได้ดีที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงสรรพคุณส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์มาเท่านั้น ซึ่งนอกจากนี้ “พลับพลึงหนู” ยังสามารถนำไปเป็นยารักษาอาการได้อีกหลายอย่าง อีกทั้งยังสามารถนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นประกอบเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอาการ ซึ่งผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับพืชสมุนไพรมากขึ้น เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบต่อไปภาพถ่ายโดยผู้เขียน