หลังจากที่ผมได้พาผู้อ่านเยี่ยมชมบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์และพาเดินเเข้าประตูบานแรกไปแล้ว ในบทความเรื่องก่อน ๆ ในบทความนี้ ผมก็ต้องพาทุกท่านเดินชมพิพิธภัณฑ์ต่อไป ซึ่งหากอ่านจากชื่อบทความก็คงเดากันไม่ยากว่าประตูบานต่อไปจะเกี่ยวกับอีกสองมิติในโลกมายคราฟที่ตัดขาดจาก Overworld ที่ตัวละครของเราอาศัยอยู่ ถัดออกมาจากประตูสีเขียวนามว่า "Alpha" ตามเวอร์ชันอัลฟ่าที่นับว่าเป็นเวอร์ชันแรกสุดของเกมมายคราฟ ทางซ้ายของประตูบานนี้คือประตูหน้าตาคล้ายกันแต่มีสีม่วง ชื่อว่า "Dimensions"ผู้เล่นที่เดินเข้าไปในประตูบานนี้จะพบกับ Cutscene เล็ก ๆ รอบต้อนรับอยู่ เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย นั่นแหละครับคือความอลังการที่แท้จริง ผมก็ว่าแอนิเมชันที่ทีมงานใส่ลงไปตรงโถงพิพิธภัณฑ์นั้นอลังการแล้ว ห้องนี้กลับน่าสนใจกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก เพราะผู้เล่นที่เดินเข้าไปจะได้พบกับรูปปั้นของตัวละครหลักในเกมทั้งสองตัวต่อสู้กับบอสใหญ่ของเกมอย่าง "The Wither" และ "Ender Dragon" ไม่เพียงเท่านั้น กำแพงทั้งสี่ด้านยังมีการประดับด้วยบล็อกประจำมิติของใครของมัน ฝั่งมิติ Nether ถูกตกแต่งด้วยหิน Obsidian ส่วนฝั่งมิติ The End ก็ถูกตกแต่งด้วย Endstone ทั้งซ้ายและขวาก็ยังจะมีประตูให้ผู้เล่นเข้าไปสำรวจตามแต่ละมิติได้อีกเตือนท่านผู้อ่านที่อยากจะตามผมเข้ามาเล่นในนี้ไว้ก่อนนะครับว่าเดินระวังพื้นที่เปิดรูด้วย เพราะครั้งแรกที่ผมลองเดินเข้าไปด้วยความคิดที่ว่ามันเป็นภาพลวงตาที่น่าสนใจดี ผมกลับต้องตกลงไปในพื้นที่ว่างนั้นแบบงง ๆ แต่ก็อย่ากลัวเลย ถ้ากลัวแล้วการสำรวจครั้งนี้จะไม่สนุกเอา จริงไหมครับ ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเรามาสำรวจต่างมิติไปด้วยกันเถอะครับ เริ่มจากมิติแรกที่ถูกสร้างขึ้น "Nether" นั่นเองNether เป็นมิติที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและสีแดงทั่วทั้งพื้นที่ พร้อมกับสิ่งมีชีวิตอันตรายที่จะโจมตีผู้เล่นให้เสียหลักตกลาวาอยู่เรื่อย ไหนจะภูมิประเทศที่ไม่อำนวยต่อการใช้ชีวิตอันสงบสุขสุด ๆ มันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมไม่อยากไปเยือนที่สุดในเกมนี้แล้ว ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีรางวัลหลายอย่างที่จูงใจให้ผู้เล่นอย่างผมต้องเข้าไปนับครั้งไม่ถ้วนการจะไปเยือนมิตินี้ได้นั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องสะสมหิน Obsidian อย่างต่ำสิบบล็อกเพื่อสร้างเป็นประตูมิติ แค่นั้นไม่พอ ผู้เล่นยังต้องสร้างไฟแช็คเพื่อเปิดทางอีกด้วย ของรางวัลที่จูงใจให้ผมเข้าไปในมิตินี้ได้ตลอดก็คืออุปกรณ์เสริมแกร่งให้ชุดเกราะกับดาบเพชรของผมเพิ่มเติมที่เรียกว่า Netherite มันช่วยทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ของผมทนทาน ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมากไปกว่านั้น คือเราสามารถเอาไปอวดเพื่อน ๆ ที่เล่นอยู่ใน realm เดียวกันได้ว่าขณะนี้เราแข็งแกร่งมากแค่ไหน เท่านี้ก็จะไม่มีใครกล้ามากวนคุณระหว่างเล่นเกมได้แล้วครับผมยังไม่ได้กล่าวถึงการตกแต่งห้องใช่ไหมนะ ในห้องโซนมิติ Nether นี้พวกเขาได้ทำให้เป็นเหมือนตัวละครของเรากำลังเดินอยู่บนสะพานปราการ Nether โดยถูกล้อมรอบด้วยภูมิประเทศที่หลากหลายของมัน พร้อมกับทำแอนิเมชันสิ่งมีชีวิตให้ดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับในตัวเกมจริง (หรือจะคิดว่าเจ้าพวกนี้ดูเป็นมิตรกว่าในตัวเกมจริงก็ได้) การจัดห้องแบบนี้ทำให้ผมต้องคอยสอดส่องทุกซอกทุกมุมของห้องว่ามันจะมีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่ตรงมุมไหนบ้าง เป็นประสบการณ์เข้าพิพิธภัณฑ์ที่ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อยครับมิติที่สองอย่าง "The End" ก็มีรางวัลจูงใจที่มากกว่าอีกมิติหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็น Elytra ที่ทำให้ผู้เล่นในโหมดธรรมดาสามารถบินสำรวจท้องฟ้าและเดินทางได้เร็วกว่ายานพาหนะอันไหน ๆ ในเกม หรือว่าจะเป็น Dragon Breath ที่ผู้เล่นสายปรุงยามักใช้ในการเคลือบหัวลูกศรให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ไม่ก็ Shulker Box เจ้ากล่องหลากสีที่ทำให้ผู้เล่นแบกของติดตัวได้มากกว่าเดิม ทว่า สิ่งของเหล่านี้ต่างก็ต้องอาศัยความพยายามในการเข้าไปเอามาก เนื่องจากผู้เล่นจะต้องรวบรวมกุญแจที่ใช้เปิดประตูมิติ ต้องตามหาป้อมปราการโบราณใต้ดินเพื่อหาประตูมิติอีกที ต้องต่อสู้กับเจ้าถิ่นอย่างมังกรดำ แล้วก็ยังต้องเดินทางข้ามเกาะลอยฟ้าต่าง ๆ เพื่อไปเอาของเหล่านั้น เพียงทำพลาดไม่กี่ก้าว ตัวละครของคุณก็อาจตกลงไปในพื้นที่ว่างได้ และแม้แต่ชุดเกราะที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจปกป้องคุณจากความผิดพลาดนี้แน่นอนมาพูดถึงการตกแต่งห้องนี้บ้างดีกว่า ตอนแรกที่ผมเดินเข้าไปก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อกว่าห้องฝั่งมิติ Nether มาก ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเป็นพิเศษ ทว่า ผมก็ต้องเปลี่ยนใจใหม่อีกครั้งเมื่อเดินเข้าไปถึงโซนห้องกระจกบานใหญ่ที่โชว์ให้เห็นมิติ The End แบบหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ทั้งสีสัน ทั้งบรรยากาศ ทั้งท่าทางของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นก็ทำได้สมจริงจนผมอยากเข้าไปบินเล่นตรงนั้นด้วยนึกได้ไม่ทันไรตาของผมก็เหลือบไปเห็น NPC มอบมินิเกมเสียแล้ว และมินิเกมที่ว่าคือให้ผมเข้าไปร่วมบินเล่นกับพวกเขาจริง ๆ มุมมองของเกมนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากในเกมจริงมากหรอกครับ แต่ด้วยแอนิเมชันที่ทำให้ดูเหมือนเราไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวที่แข่งเกมนี้อยู่ ก็หายเหงาอยู่ไม่น้อยเลยอย่างที่ผมได้เขียนไป ระหว่างที่สำรวจตามห้องต่าง ๆ ผู้เล่นอาจได้พบกับ NPC ที่จะยืนมอบมินิเกมให้เราได้ลองเล่น ผมขอแนะนำให้ลองเล่นกันดูครับ แต่ละมินิเกมมีเอกลักษณ์ของมันเอง แม้ว่ามันจะมีหน้าตาเหมือนกันเกมมายคราฟธรรมดา แต่การควบคุมมุมกล้องให้ต่างไปจากเดิมก็ทำให้เกมน่าเล่นมากขึ้นแล้ว ผมขอชื่นชมค่าย Mojang ในจุดนี้เลย นอกจากนั้น ผู้อ่านก็ลองไปถ่ายรูปที่โซนถ่ายรูปเล็ก ๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้สิครับ ถ้าถ่ายด้วยมุมมองบุคคลที่ 3 จะดูดีมาก ผมว่ามันเป็นกิจกรรมขำ ๆ ที่สนุกนะครับ แถมเรายังสามารถเอารูปภาพพวกนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึกวันครบรอบสิบห้าปีของเกมมายคราฟได้อีกด้วยสุดท้ายก่อนที่บทความนี้จะจบลง ผมขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับที่เข้ามาชม แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับเครดิตภาพและข้อมูลภาพประกอบทั้งหมดมาจากเกม Minecraft ที่ผู้เขียนเล่น เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !