รีเซต

ลดความสัมพันธ์ทางการทูตทำได้อย่างไร ? กรณีไทยประท้วง ประเด็น "ฮุนเซน" ปล่อยคลิปเสียง

ลดความสัมพันธ์ทางการทูตทำได้อย่างไร ? กรณีไทยประท้วง ประเด็น "ฮุนเซน" ปล่อยคลิปเสียง
TNN ช่อง16
19 มิถุนายน 2568 ( 15:58 )
17

สืบเนื่องจากในวันนี้ (19 มิถุนายน) กระทรวงการต่างประเทศของไทยแถลงข่าวยื่นหนังสือประท้วงแก่นาย ฮุน ซาเรือน เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อประท้วงกรณีสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ของเขาและนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย จนเกิดเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งการยื่นหนังสือประท้วงในนามของกระทรวงการต่างประเทศเป็นเพียงขั้นตอนแรก ๆ ที่เจ้าหน้าที่ทางการทูตจะใช้เพื่อลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ขัดแย้ง แล้วขั้นตอนการลดระดับทางการทูตนั้นมีอะไรบ้าง เราได้รวบรวมมาให้แล้วในโพสต์นี้

การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ในการแสดงความไม่พอใจหรือประท้วงต่อการกระทำของอีกประเทศหนึ่ง โดยไม่ตัดความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงแต่เป็นกลยุทธ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง "การรักษาความสัมพันธ์ตามปกติ" กับ "การตัดความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง"


-แถลงการณ์ประท้วง


โดยในขั้นตอนเริ่มต้นอาจเรียกได้ว่าเป็นเหมือน “การเตือน”  คือการออกแถลงการณ์ทางการทูตหรือออกหนังสือประท้วงเพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าประเทศที่ตกเป็นเหยื่อเริ่มรู้สึกไม่พอใจในวิธีที่ประเทศคู่ขัดแย้งได้กระทำ ซึ่งการออกแถลงการณ์ในลักษณะนี้เป็นเหมือนการแจ้งว่ากำลังพิจารณาที่อาจจะลดระดับความสัมพันธ์ลง หรือกลับมาทบทวนความสัมพันธ์


-เรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ


สำหรับขั้นตอนต่อมาที่เริ่มเป็นวิธีที่เด็ดขาดขึ้นก็คือการเรียกเอกอัครราชทูตของตัวเองกลับประเทศ อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตระบุว่าการเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศเป็นการลดระดับความสัมพันธ์แบบเบื้องต้นและนิยมใช้มากที่สุด อาจเป็นการเรียกตัวเพื่อกลับไปปรึกษาหารือเกี่ยวกับแนวทางการทูตของ 2 ประเทศในอนาคต ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นการตัดสัมพันธ์โดยสมบูรณ์ แต่เป็นการสื่อถึงความไม่พอใจอย่างจริงจังต่อประเทศคู่ขัดแย้ง



-สั่งเอกอัครราชทูตของประเทศคู่ขัดแย้งออกจากประเทศ


ในขั้นตอนต่อมาของการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต คือ การขอให้เอกอัครราชทูตของประเทศคู่ขัดแย้งออกจากประเทศของตน อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตระบุด้วยว่าการประกาศให้เอกอัคราชทูตคนนั้นเป็น "บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา"  หรือที่เรียกว่า “persona non grata” ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เพื่ออ้างถึงนักการทูตหรือบุคคลต่างชาติที่ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ หรือถูกประกาศว่าเป็นบุคคลที่ไม่สามารถเข้าหรืออยู่ในประเทศนั้นได้อีกต่อไป ซึ่งการประกาศให้เป็น persona non grata ถือเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดที่ประเทศหนึ่งสามารถใช้กับนักการทูตจากอีกประเทศหนึ่งได้ และหลังจากเลือกใช้วิธีการนี้ เอกอัครราชทูตที่ถูกให้ออกนอกประเทศจะต้องปฏิบัติตามภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย

ยกตัวอย่างจากกรณีของรัสเซียที่ประกาศขับนักการทูตสหรัฐและจากประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปออกนับสิบคน เมื่อปี 2021 เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก


-ลดระดับสถานเอกอัครราชทูตและยกเลิกกิจกรรมทางการทูตบางประเภท


มาตรการนี้คือการลดระดับจากสถานเอกอัครราชทูตที่มี “เอกอัครราชทูต” ประจำการอยู่เป็นเพียง สถานทูตหรือสถานกงสุลในระดับที่ต่ำกว่า โดยอาจจะมีเพียง “อัครราชทูตที่ปรึกษา” หรือ “หัวหน้าสำนักงาน” ที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ขณะเดียวกันหากความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศยังคงอยู่ในจุดที่ย่ำแย่อย่างต่อเนื่องอาจมีการยกเลิกกิจกรรมทางการทูตบางอย่าง อาทิ การยกเลิกประชุมในระดับทวิภาคีร่วมกัน การระงับโครงการแลกเปลี่ยนร่วมกัน หรือหนักกว่านั้นคือการระงับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทาง หรือ วีซา ของเจ้าหน้าที่ทางการทูตก็เป็นไปได้



-ปิดสถานเอกอัครราชทูต


หากการลดระดับความสัมพันธ์ลุล่วงมาจนถึงขั้นตอนนี้อาจเรียกได้กว่า “เกือบ” จะเป็นจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแล้ว ยกตัวอย่างจากกรณี สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนในกรุงพนมเปญ ที่ประกาศปิดอย่างเป็นทางการ โดยทางการสวีเดนระบุว่า สาเหตุของการปิดสถานทูตสวีเดนในกัมพูชา เนื่องจากการตัดสินใจของรัฐบาลสวีเดนในการระงับความร่วมมือทวีภาคีกับกัมพูชา หรือตัวอย่างจากกรณีการปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน ของอิหร่าน เพราะทั้ง 2 ประเทศได้ตัดสัมพันธ์กัน แต่เพิ่งกลับมาเปิดทำการใหม่เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา


-ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตโดยสิ้นเชิง


มาตรการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นยังเป็นเหมือนเชือกเชื่อมใจระหว่าง 2 ประเทศอยู่ ซึ่งหมายความว่าแม้จะมีการเรียกทูตกลับหรือสั่งปิดสถานเอกอัครราชทูตก็ยังไม่ได้หมายความว่าทั้ง 2 ประเทศได้ตัดสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงแล้ว 

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตโดยสิ้นเชิง นั่นถือเป็นจุดสูงสุดของการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตที่สะท้อนความไม่พอใจในขั้นสูงสุด และการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตโดยสิ้นเชิงนี้ยังรวมไปถึงจะไม่มีการติดต่อทางการทูตใด ๆ ระหว่างสองประเทศนี้อีก จนกว่าทั้งสองประเทศจะหาจุดยืนร่วมกันได้หรือกลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง