ในฐานะของคนสร้างตัวอย่างยากลำบาก จากคนที่ไม่มีต้นทุนอะไรในชีวิตเลย ฐานะยากจนด้วยซ้ำ แต่มีหัวดี เรียนเก่ง จึงอาศัยวินัยอันเข้มข้นยอมลำบากเพื่อจบการศึกษาสูงๆ แล้วหางานที่ดีทำ ทำงานให้ดี...จุดนี้แหละที่ยาก เพราะถ้าเราอยากก้าวหน้าให้สมกับความท้าทายที่เราอยากพัฒนาตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองทำให้องค์กรเห็นว่าเราสามารถทำได้ โดยเฉพาะเรื่องของการเป็นผู้นำที่พาคนในองค์กรสมานฉันท์ แก้ปัญหาให้กับองค์กรในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เขาคนนี้คือ กระทิง พูนผล ผู้ผลักดัน Startup ในไทย ดำรงตำแหน่ง Group Chairman ของ KBTG กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย เขาจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวที่ต้องฝ่าฟัน ซึ่งยากในระดับ Move heaven and earth ยากราวกับย้ายสวรรค์เคลื่อนโลกาเลยทีเดียว แต่เพราะอยู่กับความลำบากมาก่อน เขาจึงใช้ความสามารถในการเรียนรู้เร็ว และความอดทนต่อสู้จนทำสำเร็จ ทั้งในด้านการลงทุนด้วยการเป็นนายทุนเจ้าของธุรกิจ Startup และทำงานในฐานะ Group Chairman ของ KBTG ในเครือธนาคารกสิกร ดูแลธุรกรรมการเงินผ่านเครือข่าย Mobile banking โดยไม่ให้แอปธนาคารล่มอีกเลย ไม่ว่าจะมีผู้ใช้งานมากแค่ไหนก็ตาม เขาบอกว่า"ผมโชคดีที่ไม่มีโชคอะไรเลย" ซึ่งครีเอเตอร์ตกใจมาก เพราะน้อยคนที่จะทำได้เหมือนอย่างเขา ต่อให้มีต้นทุนหรือมีความรู้บ้างก็ใช่ว่าจะทำได้เหมือนอย่างเขาขนาดนี้ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.winning environment แปลตรงตัวคือสภาพแวดล้อมหรือสนามแข่งที่คุณเป็นผู้ชนะ แต่เชื่อไหมครับว่าสนามที่จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะในระยะยาวกลับเป็นสนามที่คุณเข้าไปปั๊บก็แพ้ทันที เพราะคุณเป็นคนห่วยที่สุดในเกม สนามไหนที่คุณเข้าไปปุ๊บแล้วคุณเป็นคนเก่งสุด นั่นเรียกว่า losing environment มันคือสนามแห่งความพ่ายแพ้ เพราะ winning environment ที่แท้จริงคือสนามที่ คุณเริ่มต้นเป็นคนห่วยสุดหรืออยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เป็นชนชั้นล่างของสนามแข่งนั้น เพราะนั่นแปลว่าคุณจะสามารถพัฒนาได้ไกลมากกว่าคนอื่น 2.โชคแบบแรก คือโชคที่เข้ามาแบบฟลุกๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นโชคที่เกิดยากมาก เป็นโชคที่ฟ้าประทาน โชคแบบที่สอง คือโชคที่คุณเกิดมาพร้อมกับมัน คุณเกิดมาในตระกูลยิ่งใหญ่ มีทรัพย์สมบัติ เกิดมาสวยหล่อ เกิดมาฉลาด พ่อแม่เลี้ยงคุณมาดี เป็นโชคที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด โชคแบบที่สาม คือโชคที่ได้มาเจอสิ่งนี้ เจอคนนี้ เป็นโชคที่เกิดจากการแสวงหา หรือโชคที่เกิดเมื่อคุณอยู่ถูกที่ถูกเวลา และทำสิ่งที่ถูกต้อง 3.หลักการตัดสินใจก่อนจะลงทุนกับใคร... 3.1.พิจารณาผู้ก่อตั้งเป็นหลัก เพราะเราลงทุนตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ หรือที่เรียกว่าการลงทุนรอบ Seeding พิจารณาว่าถ้าผมเข้าไปทำธุรกิจเดียวกันกับเขา เราจะสู้เขาได้ไหม จะกระหายเท่าเขาไหม สามารถพลิกแพลงปรับตัวได้เท่าเขาไหม สามารถทำธุรกิจเดียวกันเขาแล้วเอาชนะเขาได้ไหม นั่นหมายถึงเราจะดึงดูดทาเลนต์สู้เขาได้ไหม ระดมทุนเก่งกว่าเขาได้ไหม ถ้าคำตอบคือเขาทำได้เก่งกว่า เรา หรือสูสี หรือเขามีจุดเด่นอะไรบางอย่างที่สุดยอด กว่าจะชนะได้เราน่าจะหืดขึ้นคอเกือบตาย เราจะเทใจมากกว่าครึ่งที่จะลงทุนกับเขา 3.2.จากนั้นถามตัวเองว่า ถ้าเราอายุน้อยกว่านี้สัก 20 ปี จะอยากทำงานกับคนคนนี้ไหม 3.3.ถ้าคำตอบสองข้อแรกคือใช่ เราจะมีบททดสอบเพิ่มเติมบางอย่าง อาทิ จะทักแชตไปตอนดึกๆ ขอสอบถามข้อมูล เพิ่มเติม แล้วดูว่าเขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็วไหม หรือมีการ ส่งสไลด์ ส่งการบ้านอย่างรวดเร็วแค่ไหนหลังจากได้เจอกัน ถ้าผ่านสามข้อนี้ และเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างดี ตอบคําถามยากๆได้อย่างเข้าใจแท้จริง ก็ตามด้วยการตรวจสอบที่เรียก ว่า validation check ดูว่าคนพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง โลก สตาร์ตอัปไม่ได้ใหญ่โตมากนัก หากสตาร์ตอัปบางตัวมีลูกค้าแล้ว เราจะไปถามลูกค้าเขา ไปดูหน้าร้านเขา หรือดูรีวิว ลูกค้า ไปลองใช้ผลิตภัณฑ์เขา และเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์เขา กับคู่แข่ง และจะระบุปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจนี้ว่าคืออะไร เพื่อถามว่าเขามีแนวทางในการจัดการแก้ไขมันอย่างไร หากตอบได้เป็นที่น่าพอใจถึงจะลงทุนในสตาร์ตอัปนั้น 4.WHY ของคุณคืออะไร WHY ของคุณสอดคล้องแค่ไหนกับ WHY ขององค์กร WHY ขององค์กรมันสอดคล้องแค่ไหนกับ WHY ของทีมงาน ในองค์กรที่ดีที่สุด WHY สามอย่างนี้จะสอดคล้องเชื่อมโยงกัน 5.WHY คือเหตุผลสูงสุดแห่งการทำสิ่งที่เราทำอยู่ การทำให้ทั้งสาม WHY สอดคล้องกันคือหน้าที่ของผู้นำ โดยเริ่มต้นจากสร้าง WHY ที่ถูกต้อง และมันจะกลายเป็นเหตุผลแห่งการดำรงอยู่ขององค์กร เหตุผลที่จะตื่นมาทำงานทุกวัน และจำไว้เสมอว่าสิ่งที่คุณมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ไม่ได้แปลว่าคุณไปต่อได้เสมอไป เช่นเดียวกับองค์กร สิ่งที่ทำให้คุณพาองค์กรมาถึงตรงนี้ จะไม่สามารถให้คุณพาองค์กรไปถึงเป้าหมายในอนาคต คุณต้องใส่อะไรใหม่ ต้องทรานส์ฟอร์มตัวเองตลอดเวลา อย่าเป็นขวดหรือทำตัวเป็นข้อจำกัดขององค์กรเสียเอง เพราะผู้นำคือภาพสะท้อนขององค์กร จุดอ่อนของคุณจะถูกขยายไปในองค์กรอย่างรวดเร็ว 6.นิยามของ "วัฒนธรรมองค์กร" คืออะไร มันคือพฤติกรรมของพนักงานตอนเจ้านายไม่อยู่และวัฒนธรรมในนิยามนี้มีส่วนสำคัญมากในการกำหนดความสำเร็จขององค์กรระดับนรกหรือสวรรค์ได้เลยนะครับ ลองจินตนาการว่าถ้าพนักงานของคุณอยู่ในโหมด WFH แค่เฉพาะตอนประชุมออนไลน์ เวลาที่เหลือกลับไปนั่งดูเน็ตฟลิกซ์ คุณคิดว่าองค์กรนั้นจะประสบความสำเร็จได้ไหม วัฒนธรรมไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูที่เอาไปแปะฝาผนังหรือเอาไว้ทำพีอาร์ แต่มันคือความเชื่อและคุณค่าร่วมกันของคนในองค์กรที่ส่งผลต่อพฤติกรรมพวกเขา อ่านไปสักครึ่งเล่ม (บท Transformation in a nutshell) แล้ว เริ่มไม่อิน เบื่อ รู้สึกว่ามันเป็นงาน..เป็นเจตนารมณ์ของคุณกระทิงที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตของเราเลย เราห่างไกลมากจากจุดนั้น เราจะเป็นผู้นำต้องเสียสละ เข้าใจพนักงาน มีตัวชี้วัดและข้อมูลให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ (Data Driven) ฯลฯ ซึ่งน้อยคนจะมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าถามว่ามันช่วยเติมพลังให้เราใจสู้บ้างมั้ย ก็ต้องยอมรับว่ามีบ้าง..แต่ไม่มาก เพราะใจหนึ่งครีเอเตอร์ก็ไม่ค่อยอิน เราใช้วิธีการของเขาแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ สำหรับครีเอเตอร์ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่วางแผนไว้ได้กับการหางานทำในหน่วยงานรัฐ สองอย่างนี้ถือเป็นการ MOVE HEAVEN AND EARTH แล้ว กระนั้นเรายังคงต้องมีแผนอื่นต่อไปเพื่อให้ชีวิตเราก้าวหน้า นั่นคือเรายังต้อง MOVE HEAVEN AND EARTH เพื่อให้เรามีฐานะดีขึ้นนั่นเอง เครดิตภาพ ภาพปก โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Pixabay จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ 15 INVALUABLE LAWS OF GROWTH รีวิวหนังสือ ATOMIC HABITS เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น รีวิวหนังสือ The LAST LECTURE เดอะลาสต์เลกเชอร์ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !