ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Polestar พุ่งสูงหลังได้รับอานิสงส์แคมเปญการขายเจาะกลุ่มลูกค้า Tesla
โพลสตาร์ (Polestar) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสวีเดน ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ โดยมียอดขายรวม 12,304 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 76% เมื่อเทียบกับ 6,975 คันในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ด้านราคาและการส่งเสริมการขายที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงแคมเปญพิเศษที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าผู้ครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (Tesla) ซึ่งเป็นแบรนด์คู่แข่ง
ปัจจุบันโพลสตาร์ (Polestar) มีผลิตภัณฑ์หลัก คือ Polestar 2 รถยนต์ไฟฟ้าแบบฟาสต์แบ็ก และ Polestar 3 รถยนต์ไฟฟ้า SUV โดยมีแผนที่จะเปิดตัว Polestar 4 รถยนต์ไฟฟ้า SUV คูเป้ ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขยอดขายแยกตามรุ่น
โดยทางจอร์แดน ฮอฟฟ์แมน (Jordan Hofmann) หัวหน้าฝ่ายขายของ โพลสตาร์ (Polestar) ได้โพสต์บนลิ้งก์อิน (LinkedIn) ส่วนตัวภายหลังจากเริ่มแคมเปญ "พิชิต Tesla" ว่า ยอดสั่งจองรถยนต์ Polestar 3 นั้น "น่าประทับใจอย่างยิ่ง"
แม้เผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ยอดขายของ Polestar ในไตรมาสแรกยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
ไมเคิล โลชเชลเลอ (Michael Lohscheller) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโพลสตาร์ (Polestar) กล่าวว่า "เรากำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องและดำเนินการในสิ่งที่สมควร ด้วยรูปแบบการขายที่กระตือรือร้นยิ่งขึ้น เครือข่ายพันธมิตรด้านการค้าปลีกที่ขยายตัว และผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่น่าดึงดูด ทำให้เราสามารถส่งมอบผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้"
กลยุทธ์การขายเชิงรุก
หนึ่งในกลยุทธ์การขายเชิงรุกของโพลสตาร์ (Polestar) คือการเจาะตลาดผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (Tesla) โดยอาศัยปัจจัยด้านความผันผวนของมูลค่าแบรนด์เทสลา (Tesla) ที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงบทบาททางการเมืองของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้บริหารระดับสูงบริษัท เทสลา (Tesla) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลโดจช์ (DOGE) โดยล่าสุดบริษัทได้เริ่มเสนอส่วนลดสูงสุดถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 175,000 บาทสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์เทสล่า (Tesla) ที่สนใจเช่าซื้อรถยนต์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Polestar 3 เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัท เทสลา (Tesla) เองก็เคยใช้กลยุทธ์การให้ส่วนลดเพื่อกระตุ้นยอดขาย
อย่างไรก็ตาม ผลกำไรของบริษัท โพลสตาร์ (Polestar) ยังคงต้องรอผลประกอบการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเพื่อประเมินผลกระทบของส่วนลดต่ออัตรากำไร โดยบริษัทได้ประกาศเลื่อนการเผยแพร่ผลประกอบการทั้งปีและไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2568 ภายหลังจากได้รับการอนุมัติเงินกู้จำนวน 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
นักวิเคราะห์เชื่อว่าความยั่งยืนของกลยุทธ์การให้ส่วนลดของโพลสตาร์ (Polestar) ยังเป็นประเด็นที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่อาจส่งผลให้ราคารถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น โพลสตาร์ (Polestar) มีฐานการผลิตทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีน และมีแผนที่จะเริ่มการผลิต Polestar 4 ในเกาหลีใต้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจในประเทศจีน
นอกจากนี้โพลสตาร์ (Polestar) ยังแสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจในประเทศจีน แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงแผนธุรกิจโดยทั่วไปก็ตาม ในเอกสารที่ยื่นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาโพลสตาร์ (Polestar) ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของจีลี่ (Geely) บริษัทสัญชาติจีน ได้ระบุว่าได้ตกลงที่จะยุติกิจการร่วมค้าในประเทศจีนกับซิงจี้ เหม่ยซู (Xingji Meizu) บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
ทั้งสองบริษัทได้ร่วมมือกันในปี 2566 เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับรถยนต์โพลสตาร์ (Polestar) ที่จำหน่ายในประเทศจีน และขณะนี้จะมีการโอนสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายของกิจการร่วมค้าดังกล่าวให้กับโพลสตาร์ (Polestar) โดยตรง
กิจการร่วมค้าดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า Polestar Times Technology จะดำเนินการชำระหนี้สินที่คงค้างทั้งหมดก่อนที่จะยุติการดำเนินงาน และจะทำการโอน "สินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์อื่น ๆ บางส่วน" ให้กับโพลสตาร์ (Polestar) เพื่อให้บริษัทสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมด้านการขาย การบริการลูกค้า และการจัดจำหน่ายในตลาดจีนได้อย่างต่อเนื่อง เอกสารดังกล่าวระบุว่า การยุติกิจการร่วมค้าเป็นผลมาจาก "การเปลี่ยนแปลงจุดเน้นและกลยุทธ์ทางการตลาด" แต่ โพลสตาร์ (Polestar) ยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะบุกตลาดจีน