สวัสดีคุณผู้อ่านครับ ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ชมวิดีโอที่เป็นแนว Cinematic หรือดูเป็นภาพยนตร์ใช่ไหมล่ะครับ คุณอาจสงสัยว่าพวกเขาถ่ายทำออกมาแบบนั้นได้อย่างไร ในบทความนี้ผมจึงมีแนวทางและวิธีการคร่าว ๆ มาให้คุณผู้อ่านลองใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นครับภาพ: João Silas1. ถ่ายด้วยอัตราเฟรมเรท 24 fps (23.976)โดยปกติแล้วในภาพยนตร์ทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันจะมีอัตราเฟรมเรทอยู่ที่ 24 เฟรม/วินาที ซึ่งโดยปกติเรามักจะเห็นคลิปทั่วบนไป Youtube ใช้อัตราเฟรมเรทอยู่ 30 เฟรม/วินาที แต่หากคุณลองตั้งค่ากล้องและเปรียบเทียบกันดูคุณจะเห็นได้ว่าคลิปที่ถ่ายด้วยอัตราเฟรมเรท 30 เฟรม/วินาทีนั้นดูไหลลื่นเกินกว่าที่ภาพยนตร์ควรจะเป็น การถ่ายด้วยอัตราเฟรมเรทที่ 24 เฟรม/วินาทีจะทำให้คลิปของคุณได้การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติในแบบภาพยนตร์ซึ่งคุณสามารถเลือกที่จะถ่ายเฟรมเรทที่สูงกว่านี้ก็ได้หากคุณอยากได้วิดีโอแบบสโลว์โมชั่น คุณสามารถเลือกถ่ายที่ 60 เฟรมหรือสูงกว่านั้นเพื่อที่จะนำมาแปลงกลับเป็น 24 เฟรมด้วยโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เพื่อจะได้ภาพสโลว์โมชั่นในแบบที่ต้องการ2. ตั้งค่า Shutter Speed ให้เหมาะสมโดยพื้นฐานการถ่ายวิดีโอที่ดีนั้นคุณควรจะตั้ง Shutter speed คูณสองของอัตราเฟรมเรท อย่างเช่นใช้อัตราเฟรมเรท 30 เฟรม/วินาทีนั้นก็ควรจะตั้ง Shutter speed เป็น 1/60ดังนั้นสำหรับการถ่ายให้ดูเป็นภาพยนตร์ในขณะที่ใช้อัตราเฟรมเรท 24 เฟรม/วินาทีก็ควรต้องตั้ง Shutter speed เป็น 1/48แต่ในกล้องโดยทั่วไปนั้นไม่สามารถตั้งให้เป็น 1/48 ได้แบบเป้ะ ฉะนั้นก็สามารถตั้งให้เป็น 1/50 ได้จำง่าย ๆ ว่าไม่ว่าจะใช้อัตราเฟรมเรทเท่าใดก็ตาม Shutter Speed จะต้องคูณสองภาพ: Alex Iby3. ทำภาพพื้นหลังให้เบลอในภาพยนตร์ส่วนใหญ่นั้นมักจะมีการใช้เทคนิคเบลอพื้นหลังทั้งเพื่อความสวยงามและเพื่อทำให้ตัวละครเด่นชัดขึ้นมา การจะทำให้หน้าชัดหลังเบลอได้นั้นคุณจะต้องตั้งค่า F หรือรูรับแสงที่กล้องให้แคบเข้าไว้ ยิ่งค่า F น้อยเท่าไหร่พื้นหลังจะยิ่งเบลอซึ่งหากคุณไม่มีเลนส์ที่ตั้งค่า F ได้ต่ำมากนัก ผมขอแนะนำเลนส์พื้นฐานราคาถูกที่คนทั่วไปชอบใช้กันครับ นั่นคือเลนส์ 50mm F1.8 4. Crop ภาพ หรือใช้แถบดำโดยปกติกล้องทั่วไปราคาเข้าถึงคนทั่วไปนั้นจะถ่ายได้อัตราส่วนภาพที่ 16:9 ครับ แต่สำหรับภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์นั้นมักจะมีการใช้อัตราส่วน 21:9 นั่นคือภาพด้านข้างจะมีความกว้างมากกว่านั้นเอง การที่เราจะไปหาซื้อเลนส์หรือกล้องถ่ายภาพยนตร์มาใช้ก็คงจะเกินตัวเกินไปครับ ฉะนั้นเราสามารถทำให้วิดีโอของเราดูมีอัตราส่วนแบบภาพยนตร์ได้โดย Crop ภาพหรือตัดส่วนบนส่วนล่างเพื่อให้ภาพด้านข้างดูมีความกว้างขึ้นนั่นเองครับแต่ว่าก็มีภาพยนตร์บางเรื่องที่ใช้อัตราส่วนภาพแบบ 16:9 เช่นกันนะครับ หรือบางเรื่องก็ใช้อัตราส่วน 4:3 ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้สร้างครับว่าอยากสื่ออารมณ์ออกมาในรูปแบบไหน นั่นหมายความว่าในข้อนี้คุณอาจเลือกที่จะไม่ทำก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้ดูเป็นภาพยนตร์ครับภาพ: Chris Hartung5. ถ่ายด้วย Log Profile/Flat Colorหลายท่านอาจไม่รู้จักคำนี้นะครับ แต่มันก็คือโทนสีที่สามารถตั้งค่าได้บนกล้อง (แล้วแต่รุ่น) เมื่อเราตั้งค่าเป็น Log Profile หรือ Flat Color แล้วเราจะได้ภาพที่สีไม่สดจนเกินไป ภาพจะออกมาดูจาง ๆ ซึ่งการได้ภาพแบบนี้มาจะทำให้เราสามารถปรับแต่งสีวิดีโอของเราได้ยืดหยุ่นขึ้นกว่าโทนสีปกติ และมันจะทำให้เราสามารถย้อมสีให้เหมือนภาพยนตร์ได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งเมื่อถ่ายด้วย Log Profile แล้วก็อย่าลืมที่จะย้อมสีวิดีโอกันด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นสีวิดีโอของคุณจะดูจืดจางมาก ๆ6. การเคลื่อนกล้องที่ราบรื่นหากคุณเปรียบเทียบวิดีโอทั่วไปบน Youtube กับวิดีโอแนว Cinematic (ภาพยนตร์) จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยครับ พวก Vlogger ทั่วไปนั้นมักจะไม่ได้สนใจกับการทำให้กล้องเคลื่อนไปแบบลื่นไหลเท่าไหร่ พวกเขามักจะถือไปแบบสั่น ๆ โดยคิดว่าให้ผู้ชมเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็พอ แต่เมื่อเราต้องการจะถ่ายในแบบ Cinematic แล้วเราก็ควรจะคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างมากเลยล่ะครับตัวช่วยที่จะทำให้คุณเดินถ่ายได้ไหลรื่นและนิ่งมากขึ้นก็คือ Gimbal หรืออุปกรณ์ที่จะใช้มอเตอร์ช่วยประคองกล้องให้ไม่สั่นไหวและไปในทิศทางที่เราต้องการครับซึ่งมันไม่ได้จำเป็นว่าทุกช็อตของคุณจะต้องเคลื่อนไหวอย่างราบรื่นหรอกนะครับ บางครั้งคุณอาจอยากได้อารมณ์ภาพในแบบที่ต้องการนั่นก็แล้วแต่คุณ แต่ผมอยากให้ไตร่ตรองก่อนที่จะถ่ายทำเสมอครับว่าคุณจะใช้วิธีไหนในการเคลื่อนกล้องภาพ: KAL VISUALS7. แสง/ไฟผมเชื่อว่าหลายท่านอาจไม่รู้นะครับ ภาพยนตร์แทบทุกเรื่องนั้นแม้ว่าจะถ่ายในตอนกลางวัน พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องจัดแสงจัดไฟให้ออกมาดูดีครับ เรื่องการจัดไฟนั้นสำคัญมาก ๆ ครับเพราะไม่ว่าคุณจะใช้กล้องที่ถูกหรือแพง แต่หากคุณจัดแสงออกมาได้สวยงามวิดีโอของคุณก็จะดูออกมาเป็นภาพยนตร์ทันที นอกจากมันจะให้สว่างแล้วการจัดไฟนั้นเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่เราต้องการจะสื่อให้ผู้ชมรู้สึกด้วยครับ ลองเปรียบเทียบดูจากภาพยนตร์สยองขวัญและภาพยนตร์ตลกก็ได้ครับ จะสังเกตได้ว่าลักษณะแสงที่ออกมาในเรื่องนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนหากคุณไม่มีอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยในเรื่องของแสง ผมมีคำแนะนำว่าหากต้องการถ่ายวิดีโอภายนอก ช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือสวยงามที่สุดคือ ตอนเช้าที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสัก 6 โมงถึง 9 โมงและตอนเย็นที่ดวงอาทิตย์ใกล้กำลังจะตกครับ เพราะหากคุณไปถ่ายในตอนกลางวันมันจะทำให้หน้าของแบบดำครับ แสงดวงอาทิตย์มันจะส่องลงมากลางหัวแล้วทำให้เห็นได้เลยว่าขอบตาจะมีเงา ส่วนคอก็มีเงา และหากถ่ายในอาคารแล้วแสงไฟไม่พอผมก็ขอแนะนำว่าให้ถ่ายใกล้ ๆ หน้าต่างเพื่อให้ได้แสงธรรมชาติครัว8. จัดองค์ประกอบภาพเช่นเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง การจะถ่ายวิดีโอออกมาให้ดูดีหรือดูเป็นภาพยนตร์มากขึ้นนั้นจะต้องจัดองค์ประกอบภาพให้ดี ฉากหลักต้องมีความน่าสนใจ ซึ่งก็มีวิธีการจัดองค์ประกอบภาพหลากหลายแบบครับ ทั้งกฎสามส่วน เส้นนำสายตา การจัดเฟรมให้พอดี การเลือกโทนสี และอื่น ๆ อีกมากมายครับ อยากให้ลองศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมดูภาพ: KAL VISUALS9. เสียงต้องดีสิ่งสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์แตกต่างไปจากวิดีโอทั่วไปคือ "เสียง"แน่นอนว่าคุณควรความสำคัญกับ "เสียงพูด" มากที่สุด แต่ก็ไม่ควรที่จะละเลยจำพวกเสียงของการกระทำ เช่น เสียงปิดประตูรถ เสียงเดิน เสียงน้ำ เสียงวางแก้วกาแฟ เสียงบรรยากาศรอบข้าง เสียงอะไรก็ตามที่จะทำให้คนดูอินไปกับสิ่งที่ดูได้มากขึ้น โดยหากคุณไม่ได้มีอุปกรณ์อัดเสียงแบบจริงจัง ผมแนะนำว่าคุณสามารถใช้โทรศัพท์มือถืออัดเสียงได้เช่นกัน เสียงมันก็ไม่ได้แย่มากนัก เพียงแต่คุณอาจต้องจ่อโทรศัพท์เข้าไปใกล้ ๆ หน่อยนอกจากนั้นแล้วเรื่องเสียงเพลงหรือดนตรีก็สำคัญ ควรเลือกเพลงให้เหมาะสมกับวิดีโอหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพ และควรจะตัดต่อวิดีโอให้เข้ากับจังหวะของเพลงที่เลือกมาด้วย10. ศึกษาและดูภาพยนตร์ให้เยอะ ๆแน่นอนว่าหากออกไปถ่ายเลยคุณอาจนึกไม่ออกว่าควรจะถ่ายออกมาอย่างไรให้ดูเป็นภาพยนตร์ ดังนั้นการศึกษาจากภาพยนตร์จริง ๆ นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด ดูมันให้เยอะ ๆ คอยสังเกตวิเคราะห์ดูว่าพวกเขาใช้เทคนิคแบบไหนในการถ่ายภาพยนตร์เรื่องนั้น ไม่ว่าจะวิธีการเคลื่อนกล้อง วิธีการจัดแสง กล้องหรือเลนส์ที่ใช้หากคุณศึกษาและมีความเข้าใจในศาสตร์ด้านการถ่ายทำมากพอคุณอาจสามารถดูภาพยนตร์และบอกได้ทันทีว่าพวกเขาใช้เทคนิคแบบไหนในการถ่ายทำ ซึ่งคุณอาจลองถ่ายเลียนแบบตามภาพยนตร์ที่คุณชื่นชอบดูก็ได้ แต่ว่าคุณไม่ควรจะลอกเลียนแบบสไตล์ของคนอื่น คุณควรจะศึกษามันเพื่อดัดแปลงมาเป็นในสไตล์ของตัวเองผมขอแนะนำช่อง Youtube ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ ดังนี้ครับFilm RiotCinecom.netCorridor CrewNerdwriter1CineFixภาพปก: Kushagra Kevat