รีเซต

STECแก้เกมต้นทุนขึ้น รับงานเอกชนกู้มาร์จิ้น

STECแก้เกมต้นทุนขึ้น รับงานเอกชนกู้มาร์จิ้น
ทันหุ้น
31 สิงหาคม 2565 ( 06:58 )
107

#STEC #ทันหุ้น – STEC ยอมรับต้นทุนสูงขึ้น ปรับกลยุทธ์รับงานเอกชนมากขึ้นดันมาร์จิ้นขึ้นแตะ 7% แย้มคุยโครงการขนาดใหญ่ พร้อมศึกษาธุรกิจใหม่ขยายฐานรายได้ มองโอกาสรับงาน Recurring Income มากขึ้น เป้างานใหม่ 4 หมื่นล้านบาท ตุนงานในมือกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมศึกษาเรื่องการลดคาร์บอน โบรกชูถือครอง GULF มูลค่าสูง เป้า 18.89 บาท

 

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อน ที่มีรายได้ 27,930 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้วกว่า 14,545 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ยังคงอยู่ในระดับ 100,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ 3-4 ปี

 

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเข้าไปรับงานภาคเอกชนมากขึ้น อาทิ งานก่อสร้างอาคาร งานขยายโรงงาน ซึ่งจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการเจรจาที่จะรับงานเอกชนขนาดใหญ่อยู่ด้วย หากได้รับงานดังกล่าวก็จะสนับสนุนงานในมือให้เพิ่มขึ้น และเป็นกลุ่มงานที่มาร์จิ้นสูง

 

@เดินหน้ารับงานเอกชนมากขึ้น

 

ส่วนการประมูลงานโครงการของภาครัฐต้องยอมรับว่าขณะนี้มีความล่าช้าไปบ้าง แต่บริษัทยังสนใจติดตามอยู่หลายโครงการ ทั้งโครงการสัมปทานต่างๆ ของภาครัฐ ทั้ง กรมทางหลวง การทางพิเศษ การประมูลโครงการก่อสร้างระดับใหญ่ของราชการ และการประมูลโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ เป็นต้น แต่ทั้งนี้การเข้าไปรับงานของบริษัทจะพยายามเข้าไปรับการในส่วนของการบำรุงรักษา (Maintenance) การดูและระบบ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เป็นรายได้ประจำ (Recurring Income)ด้วย เพราะต้องยอมรับว่างานก่อสร้างค่อนข้างมีความผันผวน ทั้งการประมูลโครงการ ต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมไปถึงต้นทุนค่าแรงงาน ที่ขณะนี้มีการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำในอัตรา 5-8% ซึ่งบริษัทมีแรงงานที่รับอัตราค่าแรงขั้นต่ำกว่า 70% ทำให้ได้รับผลกระทบในส่วนนี้บ้าง แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ปรับขึ้นในอัตราที่ยอมรับได้ และก็เข้าในถึงสถานการณ์เรื่องของค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ที่ปรับเพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ดีบริษัทพยายามที่จะปรับตัว ทั้งการลดต้นทุน การใช้อุปกรณ์ที่สำเร็จรูปมากขึ้น การเจรจากับภาคเอกชนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เข้าใจถึงต้นทุนส่วนเพิ่ม ส่วนงานภาครัฐอยากให้มีการพิจารณาในเรื่องของค่า K เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทก็จะไม่ได้เข้าไปแข่งขันด้านราคามีการเลือกรับงานที่มีคุณภาพมากขึ้น เน้นงานที่มีมาร์จิ้นสูง และเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 7% จากปัจจุบันระดับ 4% ภายใน 1-2 ปีนี้ รวมไปถึงการหากธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม

 

*รับงานมาร์จิ้นสูงมากขึ้น

 

“ปีนี้ก็ยังคงเป้าหมายการรับงานที่ 4 หมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องติดตามงานที่จะออกในช่วงปลายปี เพราะขณะนี้ก็อาจจะมีความล่าช้าไปบ้างในหลายโครงการ แต่เชื่อว่าการรับรู้จะทำได้อย่างน้อยตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ หรือไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาระดับงานในมือด้วย แต่การรับงานของบริษัทจะเน้นงานที่มีคุณภาพมากขึ้น การรับงานที่มีมาร์จิ้นสูง ที่ผ่านมาบริษัทก็เดินหน้าเรื่องนี้ และพยายามที่จะหาธุรกิจใหม่าเข้ามาเสริมด้วย เพื่อกระจายฐานรายได้ เพราะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีความผันผวน มีปัจจัยกดดันบ้าง” นายภาคภูมิ กล่าว

 

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง STECว่า “ซื้อ” คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ STEC และลดราคาเป้าหมายกลางปี 2566 ลงเป็น 18.89 บาท ปัจจัยหนุนตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่ 1. อัตราการแปลง Backlog เป็นรายได้ที่เร็วขึ้น 2.การรับรู้รายได้จากโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการใหม่ที่ราบรื่นขึ้น และ 3.ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ลดลง

 

ทั้งนี้ราคาเป้าหมายใหม่ เพื่อสะท้อนถึงการปรับประมาณการกำไร จึงลดราคา เป้าหมายกลางปี 2566 ของ STEC ลง 9.7% จาก 20.92 บาท เป็น 18.89 บาท โดยอิงวิธี รวมส่วนธุรกิจ (SOTP) ประเมินมูลค่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ STEC ที่ 13.87 บาท โดยใช้ P/E ที่ 17.2 เท่ำ หรือ -1SD ของค่ำเฉลี่ย P/E 10 ปีย้อนหลัง ในขณะเดียวกัน ประเมินมูลค่าการลงทุนของ STEC ใน GULF ที่ 5.01 บาท โดยใช่ส่วนลดการถือครอง 30% สำหรับสัดส่วนการถือหุ้น GULF ที่ 1.88% ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2566 ของฝ่ายวิจัยที่ 48 บาท อย่างไรก็ดีราคาหุ้นรับรู้ปัจจัยส่วนใหญ่ มูลค่าการถือครองของ GULF ตอนนี้อยู่ที่ 40% ของ Market Cap ราคาเป้าหมาย 18.89 บาท

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง