รัฐบาลเอาจริง ยุติผูกขาดเบียร์ เปิดโอกาสรายย่อยเข้าถึงธุรกิจ

ครม.เห็นชอบข้อเสนอ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” สั่งสรรพสามิตเร่งแก้กฎ เปิดทางรายย่อยผลิตเบียร์

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบและเห็นชอบข้อวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ในกรณีกรมสรรพสามิตไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้ผู้ประกอบการรายหนึ่ง พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาและปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อยุติการผูกขาด เปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงธุรกิจผลิตเบียร์ได้ง่ายขึ้น

ที่ประชุมกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อสรุปการพิจารณาและแนวทางดำเนินการภายใน 30 วัน ก่อนเสนอผลให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้น ครม. อีกครั้ง

กรณีนี้เกิดจากคำร้องเรียนของบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ตั้งแต่ปี 2554 โดยมีกำลังการผลิตระหว่าง 100,000 – 1,000,000 ลิตรต่อปี แต่ถูกจำกัดให้จำหน่ายเฉพาะภายในสถานที่ผลิตเท่านั้น และเมื่อมีการประกาศใช้กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ.2565 บริษัทได้ยื่นขออนุญาตผลิตและจำหน่ายนอกสถานที่ผลิต แต่กรมสรรพสามิตไม่อนุมัติ โดยให้เหตุผลว่าผู้ขออนุญาตต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเห็นว่ากฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมีลักษณะเป็นอุปสรรคต่อผู้ผลิตเบียร์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถขออนุญาตได้ ทั้งที่บางรายมีกำลังผลิตต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องทำรายงาน EIA จึงเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อเปิดโอกาสให้รายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้โดยไม่เสียเปรียบ

ข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินประกอบด้วย

1. ทบทวนกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ.2565 ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 โดยไม่กำหนดเงื่อนไขที่เลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจ

2. สนับสนุนประชาชนฐานราก ให้เข้าถึงแหล่งทุนและตลาด เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเบียร์

3. จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐ–เอกชน เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การจำกัดขอบเขตการผลิตไว้ระหว่าง 100,000 – 1,000,000 ลิตรต่อปี ถือเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้ผลิตรายเล็กไม่สามารถบรรจุกระป๋องและจำหน่ายได้ โดย ครม. เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงกฎ เพื่อเปิดโอกาสให้รายย่อยสามารถผลิตและจำหน่ายได้จริง แต่ต้องมีมาตรการควบคุมคุณภาพเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยไม่ล็อกปริมาณการผลิตเหมือนที่ผ่านมา