Web 3.0 เป็นอินเทอร์เน็ตรุ่นที่สามที่กำลังจะมาถึง พัฒนาต่อมาจาก Web 2.0 ทำงานผ่านระบบ แมชชีนเลิร์นนิง (ML), บิ๊กดาต้า, แยกบัญชีแบบกระจายศูนย์ (DLT) Web 3.0 เดิมเรียกว่า Semantic Web โดยนักประดิษฐ์ www. Berners-Lee และมุ่งเป้าไปที่การเป็นอินเทอร์เน็ตที่พัฒนามากกว่าเดิมข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บไว้ในที่เก็บข้อมูลส่วนกลาง ของ Web 2.0 ในรูปแบบ Cookies เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและพฤติกรรมของผู้ใช้งานไว้ แต่ web 3.0 จะบล็อก tracks พวกนี้ให้รวมถึงบล็อกโฆษณาหรือ ad ที่ส่งมาพร้อมกับการยินยอมหรืออนุญาต cookies ที่เราไปใช้งานมาใน web 2.0 ด้วยระบบ A.I. Web 3.0 จะทำงานผ่านโปรโตคอลแบบกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นแนวคิดและไอเดียของเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล จึงสามารถทำธุรกรรมและโอนเงินข้ามประเทศได้ผ่านระบบ P2P ที่ป้องกันการแชร์อุปกรณ์ร่วมกับแอปพลิเคชันที่ถูกผูกขาดโดยเจ้าของธุรกิจ หรือเจ้าของบริษัทิแค่จำนวณหนึ่ง เพราะ DeFi เป็นระบบศูนย์กลางไร้ตัวกลางที่สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาJeffrey Zeldman หนึ่งในผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Web 1.0 และ 2.0 รุ่นแรก ๆ ได้เขียนบล็อกโพสต์โดยให้การสนับสนุน Web 3.0 ในปี 2001 Web 3.0 จึงไม่ใช่เว็บที่ถูกคิดขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด แต่เขาคิดขึ้นตั้งแต่นี้ในปี 2001 แล้ว เรามาดูพัฒนาการของ Web 3.0 กัน• Web 1.0 (2532-2548)Web 1.0 หรือที่เรียกว่า Static Web เป็นอินเทอร์เน็ตตัวแรกที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1990 ให้บริการเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดโดยที่ผู้ใช้โต้ตอบเพียงเล็กน้อยและหาข้อมูลเหมือนการพลิกหาหนังสืมพิมพ์เขียว ย้อนกลับไปในสมัยก่อน การสร้างหน้าผู้ใช้หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในบทความไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ Web 1.0 ไม่มีอัลกอริทึมในการกรองหน้าอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ยากมาก พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับทางหลวงทางเดียวที่มีทางเดินแคบๆ • Web 2.0 (2548-ปัจจุบัน)Social Web หรือ Web 2.0 ทำให้อินเทอร์เน็ตมีการโต้ตอบมากขึ้นด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี อย่าง Javascript, HTML5, CSS3 เป็นต้น ซึ่งทำให้สตาร์ทอัพสามารถสร้างแพลตฟอร์มเว็บแบบโต้ตอบได้ เช่น YouTube, Facebook, Wikipedia และอื่นๆ อีกมากมายนี่เป็นการปูทางให้ทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์กและการผลิตเนื้อหาที่ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบสื่อสารกันมากขึ้น และสามารถกระจายและแชร์ระหว่างแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันหนึ่งสู่แอปพลิเคชันต่างๆได้• Web 3.0 (ยังมาไม่ถึง)Web 3.0 เป็นขั้นตอนต่อไปของวิวัฒนาการเว็บที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตมีความชาญฉลาดมากขึ้นหรือประมวลผลข้อมูลด้วยความฉลาดที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ผ่านพลังของระบบ AI ที่สามารถเรียกใช้โปรแกรมอัจฉริยะเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ Tim Berners-Lee กล่าวว่า Semantic Web นั้นหมายถึงการเชื่อมต่อกับระบบ ผู้คน และอุปกรณ์ในบ้านด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของคนเราสะดวกสบายมากขึ้น คุณสมบัติที่สำคัญของเว็บ 3.0• ความแพร่หลายผู้คนก่อนจะเข้าถึง Internet หรือแอปพลิเคชันของแพลตฟอร์มต่างๆจะต้องมี wifi หรือสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ Web 3.0 นั้น ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่ต้องเชื่อมสัญญาณให้เข้ากับ router ของ Wifi และสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟน เนื่องจากการทำงานของระบบ IoT (Internet of Things) • กราฟิก 3 มิติที่ภาพสวยและสมจริงมากขึ้นอย่างถ้าเราค้นหาคำใน search engine ของ web 2.0 เราก็จะได้ภาพ 2 มิติที่บางครั้งความหมายก็ไม่ตรง แต่ถ้าเราค้นหาใน web 3.0 เราจะเจอการนำเสนอด้วยภาพหรือรูปเสมือนจริงแบบสามมิติ 3D ที่ความหมายตรงตามตัวกว่า ซึ่งเป็นการค้นหาข้อมูลยกระดับไปสู่โลกอนาคตอย่างแท้จริง บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิว Wednesday (2022) พบกับความสยองขวัญสุดเพี้ยนของน้อง Wednesday จากบ้าน Addams จากบ้าน Addamsรีวิว The Crown Season 5 กลับมาอีกครั้งกับครอบครัวราชวงศ์จากประเทศอังกฤษรีวิว ANNA (2022) เมื่อเธอต้องโกหกว่าเป็นคนอื่นจนได้ใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่รีวิว Do Revenge (2022) เจ็บลึกกับบาดแผลเหมือนรอยสักของคนที่โดนเพื่อนแกล้งเลยวางแผนซ้อนแผนรีวิว Sky Castle (2018) เสียดสีเรื่องตลกร้ายของวงการการศึกษาประเทศเกาหลีใต้ ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก / Canva รูปภาพประกอบที่ 1 โดย Pfüderi / 2 / 3 / 4 โดย geralt/ Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !