ตอนที่อ่านเจอข่าวว่าค่าไฟแต่ละบ้านเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ ก็แอบตกใจปนลุ้นระทึกรอบิลค่าไฟบ้านตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะออกมาแบบข่าวในโซเชียลมีเดียหรือเปล่า เพราะในเดือนที่ผ่านมาก็ได้เปลี่ยนชีวิตการทำงานมาเป็นแบบ Work From Home เกือบจะเต็มรูปแบบ ทำให้แทบจะเรียกได้ว่าอยู่บ้านทั้งวันทั้งคืนเลยก็ว่าได้ แต่พอบิลค่าไฟมาก็พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ขยับขึ้น-ลงมากเท่าใดนัก แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะหลังจากที่รู้ตัวว่าต้องเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านตามที่มีการรณรงค์ให้ Social Distancing กันนั้น ก็ได้เริ่มวางแผนงาน ปรับตารางการใช้ชีวิตไว้ตั้งแต่แรกว่าจะทำอะไร อย่างไร แบบไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยว่าเรา Work From Home อย่างไรค่าไฟไม่พุ่งกันดีกว่า ด้วยความที่ว่าเราอยู่คอนโด อาจจะได้เปรียบคนที่อยู่บ้านนิดหน่อย ตรงที่มีโอกาสรับลมได้มากกว่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดห้องให้ปลอดโปร่ง จัดเฟอร์นิเจอร์ให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ให้บังช่องทางรับลม หากหน้าต่างหันหน้าไปทางทิศตะวันออกที่รับแสงเช้า หรือทิศตะวันตกที่รับแสงบ่าย ก็ควรหาม่านกันความร้อนมาช่วยไม่ให้แสงแดดเข้ามาในห้อง เพราะไม่งั้นห้องจะเก็บอุณหภูมิสะสมเอาไว้ จะทำให้อากาศร้อนอบอ้าว นอกจากอากาศธรรมชาติแล้ว การเปิดพัดลมธรรมดา หรือพัดลมไอเย็น ก็ช่วยให้บ้านเย็นสบายมากขึ้น ไม่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา เพราะเราเลือกจะเปิดแอร์ในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด กับเฉพาะตอนเข้านอนเท่านั้น โดยตั้งอุณหภูมิให้พอเหมาะ และตั้งเวลาปิดแอร์อัตโนมัติไว้ที่ 3 ชั่วโมง เพราะหลังจากนั้นห้องจะเก็บความเย็นไว้ได้อีกนาน หรือใช้พัดลมช่วยในการทำความเย็นต่อเนื่อง ก็จะลดความสิ้นเปลืองไปได้มากเลยทีเดียว อีกอย่างนึงที่คนมักจะลืมไปก็คือการสร้างโอโซนจากธรรมชาติ ด้วยการปลูกต้นไม้ในบ้าน ริมระเบียง หรือแม้แต่กระถางเล็ก ๆ ในห้องนั่งเล่น ในห้องนอน ในห้องน้ำ นอกจากจะได้อากาศบริสุทธิ์แล้ว ต้นไม้ไม่ว่าต้นเล็กต้นใหญ่จะช่วยเรื่องความร่มเย็น เพราะจะมีการคายออกซิเจน และคายน้ำออกมาเพื่อสังเคราะห์แสง ลองสังเกตดูหากเราไปเดินในที่ ๆ เราปลูกต้นไม้ไว้ มักจะรู้สึกเย็นสบายมากกว่าที่อื่น และเมื่อได้รับบิลค่าไฟแล้ว เราก็ไม่ลืมที่จะต้องเปรียบเทียบดู เผื่อมีอะไรผิดปกติ โดยนำข้อมูลจากบิลค่าไฟลองไปเทียบดูกับหน่วยวัดมิเตอร์ไฟของเรา เอามาคูณด้วยจำนวนต่อหน่วยก็จะตรวจสอบค่าไฟส่วนเกินได้ไม่ยาก ยิ่งอากาศในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมด้วยแล้วนั้น ความร้อนอาจจะทำให้เราเผลอใช้ไฟฟ้ามากเกินไปก็เป็นได้ ยิ่งการไฟฟ้าประกาศใช้ระบบการคิดแบบอัตราก้าวหน้า ซึ่งหมายถึงใครใช้ไฟเยอะค่าไฟก็ยิ่งแพง เราก็ยิ่งต้องตรวจตราให้รอบคอบ แต่ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ การไฟฟ้าก็ได้ออกมาตรการลดค่าไฟช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการที่จะต้อง Work From Home เช่นกัน ด้วยการเพิ่มอัตราการใช้ไฟฟรี จาก 80 หน่วย เพิ่มเป็น 150 หน่วย หรือการช่วยลดค่าไฟ 50% สำหรับบ้านที่ใช้ไฟเกิน 800 หน่วย แต่ไม่เกิน 3,000 หน่วย ก็จะลดให้ครึ่งหนึ่งสำหรับค่าไฟที่เกินมา แต่หากบ้านไหนสังเกตว่าค่าไฟแพงผิดปกติก็ให้เข้าไปคิดคำนวณค่าไฟประเภทต่าง ๆ จากเว็บของการไฟฟ้า หรือ สามารถแจ้งให้การไฟฟ้าเข้าตรวจสอบได้เช่นกัน การต้อง Work From Home อาจจะต้องวางแผนให้ดีทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ค่าน้ำค่าไฟ เพราะการที่เราต้องอยู่กับบ้านทั้งวันทั้งคืน การใช้พลังงานก็ย่อมจะสูงขึ้นมากแน่ ๆ ยิ่งบ้านไหนอยู่กันหลายคนเป็นครอบครัวใหญ่ หากไม่วางแผนการใช้ไฟให้ดี ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างเปิดแอร์ มีหวังได้ปวดหัวกับค่าไฟอย่างแน่นอน ภาพปก ภาพประกอบโดย ผู้เขียน