รีเซต

กรุงเทพฯ กำลังจะจม ถ้าไม่คิดแก้ไขวันนี้ อนาคตอาจอยู่ไม่ได้

กรุงเทพฯ กำลังจะจม ถ้าไม่คิดแก้ไขวันนี้  อนาคตอาจอยู่ไม่ได้
TNN ช่อง16
8 กันยายน 2568 ( 08:57 )
45

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร วิกฤติที่ต้องคิดใหม่และแก้ใหม่

 

ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นวิกฤติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ทั้งจากปัจจัยธรรมชาติและการพัฒนาเมืองที่ขาดการวางแผนอย่างรอบด้าน เดิมทีกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มต่ำ มีความสูงเฉลี่ยต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณหนึ่งเมตร และยังเผชิญภาวะดินทรุดต่อเนื่องปีละหนึ่งเซนติเมตร ขณะเดียวกันระดับน้ำทะเลก็เพิ่มสูงขึ้นปีละ 3–5 มิลลิเมตรจากภาวะโลกร้อนและการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก หากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ภายในปี 2573 กรุงเทพฯ อาจเผชิญน้ำทะเลหนุนเข้าสู่แม่น้ำและคลอง จนน้ำท่วมพื้นที่เกือบทั้งหมด

 

นอกจากภัยจากทะเลหนุนแล้ว ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ งานวิจัยระบุว่าเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1 องศา ปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นถึง 7% เมื่อรวมกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดพาความชื้นจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ไทย จึงทำให้กรุงเทพฯ ต้องเผชิญฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตรในบางวัน ทั้งที่ระบบระบายน้ำของเมืองรองรับได้เพียง 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง เมื่อท่อและคลองไม่สามารถรับน้ำได้ทัน ก็เกิดน้ำท่วมขังรอการระบาย โดยเฉพาะหากตรงกับช่วงน้ำทะเลหนุน การผลักน้ำลงสู่อ่าวไทยก็แทบเป็นไปไม่ได้

อีกด้านหนึ่ง การพัฒนาเมืองทำให้พื้นที่รองรับน้ำหรือ “แก้มลิง” ลดลงอย่างน่าตกใจ จากเดิมที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เช่น คลองสามวา หนองจอก มีนบุรี และลาดกระบัง มีพื้นที่รับน้ำกว่า 92,000 ไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 34,000 ไร่ พื้นที่กว่า 58,000 ไร่ถูกถมเพื่อสร้างบ้านจัดสรรและชุมชนใหม่ แม้ถนนหลักหลายสายถูกสร้างเป็นแนวกั้นน้ำ แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้ระบบธรรมชาติในการระบายน้ำถูกจำกัด พื้นที่สำคัญอย่างสนามบินสุวรรณภูมิก็ถูกพัฒนาบนพื้นที่แก้มลิงเดิม นำไปสู่การลดทอนขีดความสามารถในการป้องกันน้ำหลากของเมือง

 

เมื่อเผชิญปัญหาหนักหน่วงเช่นนี้ แนวทางแก้ไขจำเป็นต้องคิดใหม่อย่างจริงจัง การจัดการน้ำต้องมองทั้งระบบลุ่มเจ้าพระยา ไม่ใช่ให้แต่ละจังหวัดแก้ไขปัญหาเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันภายใต้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางใหม่ เช่น การสร้าง “ทางด่วนน้ำ” (Water Highway) เพื่อระบายน้ำจากปทุมธานี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการออกสู่อ่าวไทยโดยตรง หรือการนำแนวคิด “Delta Works” แบบเนเธอร์แลนด์มาปรับใช้ ผ่านการสร้างเขื่อน กำแพงกันคลื่น ประตูระบายน้ำ และระบบสูบน้ำทะเล เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำทะเลหนุน

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ก็อาจต้องพิจารณามาตรการสุดขั้ว เช่น การย้ายเมืองหลวง ดังเช่นกรณีของอินโดนีเซียที่ประกาศย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปยังนูซันตารา บนเกาะบอร์เนียว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วมและดินทรุดที่แก้ไม่ไหว

 

สรุปได้ว่า ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติ แต่เป็นผลสะสมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาเมืองโดยไม่คำนึงถึงสมดุลสิ่งแวดล้อม หากยังคงแก้ไขเฉพาะหน้า กรุงเทพฯ อาจกลายเป็นเมืองที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และสร้างแผนจัดการน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อความอยู่รอดของเมืองหลวงแห่งนี้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง