Cloud Forest สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตใจกลางสิงคโปร์ ที่หากใครมาเที่ยวสิงคโปร์แล้วไม่ได้แวะมาที่ Cloud Forest ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงสิงคโปร์ หลายคนอาจจะรู้จัก Cloud Forest แห่งนี้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเพื่อถ่ายรูปกับน้ำตก หลบร้อนมาเจออากาศเย็นสดชื่น ภายใต้โดมกระจกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แต่จริงๆ แล้ว Cloud Forest เป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้เกี่ยวกับป่าฝน พร้อมตระหนักถึงคุณค่าของธรรมชาติภายใต้นวัตกรรมที่ใช้สร้างโดมแห่งนี้ขึ้นโดยที่เราไม่ต้องบุกไปเดินอยู่ในป่าฝนจริงๆ ดังนั้นการพาทุกท่านชม Cloud Forest ในวันนี้จะไม่ใช่แนะนำมุมถ่ายรูป แต่เป็นการรีวิวความรู้ที่ได้จากการแวะมาที่โดมธรรมชาติแห่งนี้ จะมีความรู้อะไรน่าสนใจบ้างตามมาดูกันเลยค่ะCloud Forest ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของ Singapore’s Gardens By The Bay ภายในประกอบไปด้วยน้ำตก ทางเดินลอยฟ้า ธารน้ำ และต้นไม้นานาชนิด ภายใต้พื้นที่ขนาด 153,000 ลูกบาศก์เมตร หรือประมาณสระว่ายน้ำโอลิมปิก 60 สระ ซึ่งโดมของ Cloud Forest มีความสูงถึง 58 เมตร และความน่าสนใจที่อยากให้ทุกคนสังเกตเวลามาเยี่ยมชมคือ โดมแห่งนี้ไม่มีเสาเพื่อค้ำยันแม้แต่ต้นเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างโครงสร้างทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งมาก ส่วนหลังคาของโดมมีพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยแผ่นแก้ว 2,577 ชิ้น ที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันถึง 690 แบบ โดมแห่งนี้มีการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิไว้ที่ 24 องศาเซลเซียส คงสภาพของป่าฝนเขตร้อนชื้นไว้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นทุกคนที่มาเยือนจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศเหมือนกับอยู่ท่ามกลางหุบเขาในป่าฝนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900-2,700 เมตร เมื่อเดินเข้ามาถึงจุดแรกสิ่งที่ได้เห็นอยู่คือ ภูเขาและน้ำตกแลนด์มาร์คของโดมแห่งนี้ ซึ่งน้ำตกที่นี่มีความสูงกว่า 30 เมตร ถือเป็นน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกแต่เหตุผลที่มีน้ำตกในโดมแห่งนี้ไม่ได้มีเพื่อเป็นจุดแลนด์มาร์คอย่างเดียวเท่านั้น แต่เบื้องหลังที่ผู้สร้างอยากให้ทุกคนได้รับรู้คือ ในป่าฝนมีน้ำตกซึ่งเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงต้นไม้ที่อยู่โดยรอบ เมื่อต้นไม้สังเคราะห์แสงและคายน้ำก็จะเป็นการคืนความชื้นกลับออกมาสู่บรรยากาศ นอกจากจะหล่อเลี้ยงต้นไม้ต้นอื่นต่อไปแล้วยังเป็นการทำให้อากาศบริสุทธิ์อีกด้วย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เวลามาเที่ยวที่นี่จึงทำให้รู้สึกสดชื่น ซึ่งกระบวนการนี้ถือเป็นวัฏจักรที่สำคัญในป่าฝนวิธีการสำรวจป่าฝนแห่งนี้คือการขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด แล้วจากนั้นจึงเดินกลับลงมาผ่านสกายวอล์ค ระหว่างแต่ละชั้นที่เดินลงมา จะมีจุดแวะพักให้ศึกษาความรู้ เช่น ลักษณะของก้อนหินแบบต่างๆ รวมถึงการได้ใกล้ชิดกับต้นไม้ดอกไม้กว่า 60,000 ต้น ซึ่งทางสิงคโปร์ใช้งบประมาณกว่า 7 ล้านดอลลาร์ เพื่อคิดค้นวิธีการที่จะปลูกและดูแลต้นไม้เหล่านี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืนที่สุด ต้นไม้นานาพันธ์ุที่อยู่ใน Cloud Forest แห่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงต้นไม้ที่ถูกเอามาปลูกรวมกัน แต่คือพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติในป่าฝน ดังนั้นเมื่อมาที่ Cloud Forest เราจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้ชนิดต่างๆ ในป่าฝนเขตร้อน เช่น กล้วยไม้ มอส และเฟิร์น และที่สำคัญคืออย่าลืมมองหาต้นไม้กินแมลงหนึ่งเดียวจากภูเขาคินาบาลู แห่งเกาะบอร์เนียวที่ปากมีความยาวถึง 40 เซนติเมตร ซึ่งขนาดใหญ่พอที่จะกินหนูได้ 1 ตัวเลยใจกลางประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนวัตกรรมที่สร้างสถานที่จำลองสภาพแวดล้อมป่าฝนหรือป่าดิบชื้นขึ้นมาได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตื่นตาตื่นใจมากๆ ค่ะ และจากการมาเยี่ยมชม Cloud Forest สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือ ระบบนิเวศน์ของป่ามีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเป็นวัฏจักรการที่ต้นไม้ สัตว์ และป่าจะสามารถคงอยู่ได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยลักษณะจำเพาะของระบบนิเวศน์ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น ความชื้นและแสงแดด ว่ากันว่าในอนาคตผลจากปรากฏการณ์โลกร้อนวันหนึ่งป่าที่สมบูรณ์ที่สุดคงจะเหลือเพียงแค่ป่าฝนเทียมอย่าง Cloud Forest แห่งนี้ เป็นความรู้สึกดีที่ได้เห็นนวัตกรรมในปัจจุบัน แต่ก็รู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อคิดว่าในอนาคตระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติเหล่านี้จะถูกทำลาย ทำให้ยิ่งต้องช่วยกันรักษาธรรมชาติให้คงอยู่กับเราให้นานมากขึ้นเท่าที่จะทำได้ เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับ Cloud Forest ในมุมใหม่ในวันนี้ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่จุดแลนด์มาร์คสำหรับถ่ายรูป แต่อีกมุมหนึ่งคือแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของกลไกที่ธรรมชาติสร้างขึ้น สุดท้ายนี้ขอลากันไปด้วยมุมสวยๆ อีกมุมหนึ่งของตึก Marina Bay นะคะ