การตลาด เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ เราจะค้าขายหรือนำเสนอข้อตกลงไม่ได้ผลแน่ ถ้าไม่รู้จักการทำการตลาด สื่อสารให้คนรู้จักข้อเสนอของเรา มองง่ายๆก็เหมือนกับการนำเสนอตัวเองให้กรรมการสัมภาษณ์งานได้รู้จักตัวตนในส่วนที่ดีของเรา Seamless Marketing Communication สื่อสารการตลาดแบบไร้รอยต่อ คือหนึ่งในแนวทางการตลาดที่น่าสนใจ หลังจากที่เห็นหนังสือการตลาดวางแผงเต็มไปหมดอยู่หลายเล่มในร้านหนังสือ ครีเอเตอร์ก็เกิดความสนใจและนึกใคร่สงสัยว่าการตลาดแบบไร้รอยต่อในภาพรวมมันเป็นอย่างไร แก่นสารหลักๆมันต่างจากแนวทางการตลาดอื่นๆอย่างไร หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ จัดทำโดยสำนักพิมพ์: Shortcut เนื้อหาภายในเล่มบทที่ 1 Communication Breakdown ความล้มเหลวของการสื่อสารแบบเดิม ๆบทที่ 2 New Communication Environment สิ่งแวดล้อมใหม่ของโลกการสื่อสารบทที่3 Seamless Marketing Communication Framework เฟรมเวิร์กของการสื่อสารการตลาดแบบไร้รอยต่อบทที่ 4 Communicator + Brand Reputation บทบาทและความสำคัญของผู้สื่อสารบทที่ 5 Audience รู้จักผู้รับสาร เพื่อการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบบทที่ 6 Channel ช่องทางการสื่อสาร อีกจุดตายที่ห้ามพลาดบทที่ 7 Key Message หัวใจสำคัญของสารที่จะสื่อออกไปบทที่ 8 Technology Enablers เครื่องมือและเทคโนโลยีสำหรับการสื่อสารแบบไร้รอยต่อบทที่ 9 Phasing of Communication & Longevity Types การวางระยะเวลาของการสื่อสารและความต่อเนื่องบทที่ 10 Use Case & Best Practices กรณีศึกษาและตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ ความรู้ ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่ากับดักความล้มเหลวของการสื่อสารแบบเก่าๆ คือ แม้จะแพร่กระจายได้กว้าง แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพราะมันเหมือนกับการแจ้งให้ทราบฝ่ายเดียว แต่ไม่สนใจความเห็นของลูกค้าที่มีข้อสงสัยอยากสอบถามเพิ่มเติม หรือการสื่อสารของเราไปก่อกวนลูกค้าที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายจนกลายเป็นความรำคาญโดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งสื่อสารแบบเดิมซ้ำๆจนไม่น่าสนใจแม้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็ตาม ดังนั้น การสื่อสารแบบเดิมอาจใช้กับโลกยุคใหม่ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปแล้วไม่ได้ ได้เรียนรู้ว่า 5 หัวใจของผู้รับสาร มีส่วนประกอบคือ1.สื่อที่พบเจอในแต่ละวัน2.ช่องทางการรับสื่อนั้น3.การถูกกระตุ้น โน้มน้าว4.ประสบการณ์ของลูกค้า5.ระยะที่ลูกค้าเกิดความต้องการในสินค้าหรือบริการทั้งหมดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารแบบไร้รอยต่อ เป็นภาพรวมที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก ได้เรียนรู้ว่า Seamless Marketing Communication จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นำเสนอข้อมูลที่ตรงความต้องการและทันเวลา นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าจริงๆ ได้เรียนรู้ว่าเราต้องรู้จักหาช่วงเวลาที่เราจะเชื่อมต่อกับผู้รับสารอย่างมีประสิทธิภาพให้เจอ เพื่อการสื่อสารนั้นจะได้ไม่ไร้ความหมาย เราต้องรู้ว่าผู้รับสารมีกิจวัตรแต่ละวันอย่างไรบ้างโดยแบ่งเป็นบล็อกภายใน 1 วัน (หลักการคล้ายๆกับการบริหารเวลาแบบ Time Blocking) หาให้เจอว่าเราควรใช้สื่ออะไร ใช้อย่างไร ช่วงเวลาไหนอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่ว่าเราจะได้เชื่อมต่อกับเขาได้ ได้เรียนรู้ว่า 5 ระดับความไวในการรับสื่อ ประกอบด้วย1.Defrosting สมองไม่พร้อมประมวลกับการสื่อสาร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จดจ่อหรือคิดเรื่องอื่นๆอยู่ก็ตาม2.Occupied สมองไม่เปิดรับสื่อเพราะจดจ่อคิดหรือประมวลผลเรื่องอื่นๆอยู่3.Cautions สมองพร้อมที่จะประมวลผลกับการสื่อสาร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จดจ่อหรือคิดเรื่องอื่นๆอยู่ก็ตาม4.Enjoy สมองพร้อมที่จะประมวลผลและเปิดรับสิ่งที่น่าสนใจแต่จะเป็นโหมด Passive5.Active สมองพร้อมที่จะประมวลผลและเปิดรับสิ่งที่น่าสนใจและเป็นโหมดกระตือรือร้นในการค้นหาแบบ Active ได้เรียนรู้ว่า 5 รูปแบบของการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ ประกอบด้วย1.Interactive ผู้รับสารตอบสนองต่อสื่อนั้นๆ เมื่อได้รับการสื่อสารและให้ความสนใจอย่างเต็มที่2.Participate ผู้รับสารตั้งใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับสื่อนั้นๆและสนใจรับสารอย่างเต็มที่3.Obligatory ผู้รับสารมีการตอบสนองต่อสื่อนั้นๆเมื่อได้รับการสื่อสาร แต่หากพบว่าไม่น่าสนใจก็ไม่ได้ติดตามรับสารต่อ4.Exposure ผู้รับสารได้รับสื่อนั้น แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการกระทำใดๆหลังจากนั้น5.Ignored ผู้รับสารไม่สนใจและปล่อยผ่าน ไม่มาข้องเกี่ยวเลย ได้เรียนรู้ว่า 4 Changes of Communication ที่จะเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับผู้รับสาร ประกอบด้วย1.Change Audience’s Information ทำให้ผู้รับสารได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น ได้ข้อมูลชุดใหม่ๆ2.Change Audience’s Knowledge & Ability ทำให้ผู้รับสารได้ข้อมูลความรู้ ความเข้าใจและมีความสามารถในการกระทำบางอย่างมากขึ้น3. Change Audience’s Belief & Perception เปลี่ยนความคิด มุมมอง ความเชื่อของผู้รับสารที่ส่งผลต่อการกระทำ4. Change Audience’s Action เปลี่ยนการกระทำของผู้รับสาร ได้เรียนรู้ว่าองค์ประกอบของ Key Message ที่ดี คือ ต้องชัดเจน กระชับ น่าสนใจและการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของคนฟัง (Call to Action) ต้องสื่อสารใจความสำคัญและเป้าหมายของการสื่อสารออกมาให้เด่นที่สุด ไม่ใช่แค่โฟกัสแต่รายละเอียดอย่างเดียว ทั้งนี้ Key Message ไม่ควรมีเกิน 3 ใจความสำคัญต่อการสื่อสาร 1 ครั้ง ไม่อย่างนั้นคนรับสารจะสับสน ถ้าเป็นไปได้ใจความสำคัญอย่างเดียวจะดีที่สุด ได้เรียนรู้ว่าประเภทของการสื่อสารตามความต่อเนื่อง (Longevity Types) ประกอบด้วย1.การสื่อสารแบบประกาศ (Announcement Communication) มักเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ผู้ส่งสารมีเรื่องต้องแจ้ง ประกาศ ประชาสัมพันธ์2. การสื่อสารแบบต่อเนื่อง (Always On Communication) เป็นการสื่อสารแบบต่อเนื่อง จัดลำดับสาร มีการจัดเรียงเรื่องราว เปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถค้นหาหรือฟังซ้ำได้3.การสื่อสารแบบเรียลไทม์ (Real Time Communication) อิงบริบทและจังหวะเวลา เล่นตามกระแสอย่างมีชั้นเชิง4. การสื่อสารแบบสนทนา (Conversation Communication) เป็นการสื่อสารแบบตอบโต้ พูดคุยแบบการสนทนา ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการตลาดที่ครีเอเตอร์ต้องหมั่นปรับเอาไปใช้ตามบริบท เข้าใจเงื่อนไขในสถานการณ์จริงตรงหน้า แม้ว่าตอนนี้ครีเอเตอร์ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างเท่าที่ควร แต่กระนั้นการทำธุรกิจหรือโปรโมตอะไรสักอย่างนอกจากจะมีความเข้าใจการดำเนินงานแล้ว การสื่อสารผ่านการตลาดก็เป็นสิ่งที่ครีเอเตอร์ต้องทำให้ได้ด้วย ก่อนจากกันไปขอทิ้งท้ายข้อคิดของผู้เขียน คุณสโรจ เลาหศิริ พูดถึงหัวใจของการสื่อสารของการตลาดว่า......ผู้สื่อสารสามารถส่งสารในช่องทางที่เหมาะสม...ให้ผู้รับสารเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราต้องการในจังหวะที่พอดีและต้องเข้าใจมุมมองของผู้รับสารให้มากที่สุด เครดิตภาพภาพปก โดย vectorpouch จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน จากปกหนังสือจริงภาพที่ 3 โดย pikisuperstar จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย freepik จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ DIGITAL MARKETING UNLOCKED ปลดล็อกการตลาดดิจิทัลรีวิวหนังสือ INBOUND MARKETING การตลาดแบบแรงดึงดูดรีวิวหนังสือ เสียงย่างเนื้อ บันทึกลับสุดยอดนักขายไร้กระบวนท่ารีวิวหนังสือ TESTED SELLING เดชคัมภีร์ลับ นักขายนอกตำรารีวิวหนังสือ พุทธะมาร์เก็ตติ้ง การผสมผสานของพุทธศาสนาและการตลาดเข้าด้วยกันเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !